สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

โรคไวรัสตับอักเสบบี คือโรคอะไร ใครควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นหนึ่งในไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เป็นชนิดที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง มีเพียงยาที่ช่วยไม่ให้ตับถูกทำลาย โรคไวรัสตับอักเสบบี จึงเป็นโรคที่ควรตรวจคัดกรองเพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี  [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคตับอักเสบชนิดหนึ่ง หรือเกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับ สาเหตุจากการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อาจทำให้เซลล์ตับตาย ความรุนแรงของโรคไวรัสตับอักเสบ บี เมื่อเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด อาจกลายเป็นตับแข็ง นำสู่โรคมะเร็งตับได้  การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  ส่วนใหญ่การติดต่อของโรคเกิดจากการถ่ายทอดจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ทารก ไม่ติดต่อผ่านทางการสัมผัสภายนอก ไม่ติดต่อหลักทางน้ำลาย แต่ติดต่อได้ ดังนี้ สามารถเกิดได้จากการเจาะหรือสักผิวหนัง ด้วยเครื่องมือที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน เชื้อเข้าทางบาดแผล หรือการใช้ยาเสพติด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน  สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะไม่แสดงอาการในทันที แต่จะใช้เวลาฟักตัว 2-3 เดือน จึงเริ่มมีอาการ เช่น เกิดการอ่อนเพลียคล้ายกับโรคหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต  สีปัสสาวะเข้มขึ้น […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ตับของเรา ทำงานอย่างไรและสำคัญขนาดไหน?

ตับ ทำหน้าที่ในการเผาผลาญมากมาย มีน้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัมและเป็นหนึ่งในอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มาทำความรู้จักกับหน้าที่และความสำคัญของ ตับของเรา ดังต่อไปนี้ ตำแหน่งของตับ ตำแหน่งของตับอยู่บริเวณด้านขวาบนของช่องท้อง ใต้กระบังลม กินพื้นที่ส่วนใหญ่ใต้ซี่โครงและช่องท้องส่วนซ้ายบน เมื่อมองจากด้านนอก กลีบตับฝั่งขวาที่ใหญ่กว่า จะต่างจากกลีบตับข้างซ้ายที่เล็กกว่า ทั้งสองส่วนแบ่งด้วยกลุ่มเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่ยึดตับไว้กับโพรงช่องท้อง ถุงน้ำดีซึ่งเป็นบริเวณที่ผลิตน้ำดี อยู่ในโพรงเล็กๆ ภายในตับ หน้าที่ของตับ ตับทำหน้าที่ที่สำคัญมากมาย เช่น ขจัดสารที่พิษที่เป็นอันตรายในกระแสเลือด รวมถึง สารเสพติดและแอลกอฮอล์ ย่อยไขมันอิ่มตัวและผลิตคอเลสเตอรอล ผลิตโปรตีนเลือดที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว การส่งออกซิเจน และหน้าที่ระบบภูมิคุ้มกัน เก็บน้ำตาล (กลูโคส) ในรูปแบบของไกลโคเจน เก็บสารอาหารส่วนเกิน และส่งสารอาหารบางชนิดเข้าสู่กระแสเลือด ผลิตน้ำดี ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการย่อยอาหาร การทำงานของตับ เนื้อเยื่อของตับเกิดจากเซลล์ตับเล็กจำนวนมากที่เรียกว่า โลบูล (lobules) ท่อเล็กๆ จำนวนมากนำพาเลือดและน้ำดีไหลผ่านในเซลล์ตับ เลือดที่มาจากอวัยวะย่อยอาหารไหลผ่านเส้นเลือดมาสู่ตับ นำสารอาหาร ยา และสารพิษต่างๆ มาสู่ตับ สารเหล่านี้จะผ่านกระบวนการ กักเก็บ ฟอก และส่งกลับไปยังกระแสเลือด หรือไปยังลำไส้ใหญ่ เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกาย ตับจึงสามารถขจัดแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือด และสารตกค้างที่เกิดจากการย่อยของยา ตับทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินเค ในการผลิตโปรตีนที่สำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด เป็นหนึ่งในอวัยวะที่ย่อยสลายเซลล์เม็ดเลือดแดงเก่า ตับกับกระบวนการเผาผลาญ ตับทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย โดยในการเผาผลาญไขมันนั้น เซลล์ตับทำหน้าที่ย่อยไขมันและสร้างพลังงาน เซลล์เหล่านี้ยังหลั่งน้ำดีประมาณ 800 ถึง 1,000 มิลลิลิตรต่อวัน ของเหลวสีเหลืองน้ำตาล หรือเขียวมะกอก […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด (Vaginal Hysterectomy)

ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด คือการผ่าตัดเพื่อนำมดลูกและปากมดลูกออก นอกจากนี้ การผ่าตัดนำรังไข่ออกก็สามารถทำได้ด้วยวิธีนี้ แต่มักปล่อยรังไข่ทิ้งไว้ ข้อมูลพื้นฐานผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด คืออะไร การผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด (vaginal hysterectomy) คือการผ่าตัดเพื่อนำมดลูกและปากมดลูกออกไป นอกจากนี้ การผ่าตัดนำรังไข่ออกก็สามารถทำได้ด้วยวิธีนี้ แต่มักปล่อยรังไข่ทิ้งไว้ สาเหตุทั่วไปสำหรับการผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด ได้แก่ มดลูกหย่อน มีประจำเดือนมากเกินไปและมีอาการปวด รวมทั้งการเกิดเนื้องอกในมดลูก ความจำเป็นในการ ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด การผ่าตัดมดลูกช่วยรักษาหรือทำให้อาการดีขึ้น และคุณจะไม่มีประจำเดือนอีกต่อไป ความเสี่ยงความเสี่ยงของการ ผ่าตัดมดลูกทางช่องคลอด อาการมดลูกหย่อนอาจดีขึ้นโดยการฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน อาการประจำเดือนมามากผิดปกติสามารถรักษาได้โดยการรับประทานยา หรือการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด หรือการผ่าตัดนำเยื่อบุมดลูกออกไป การเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้องอกในมดลูก คุณสามารถใช้ยาเพื่อควบคุมอาการต่างๆ การรักษาอื่นๆ ได้แก่ การผ่าตัดนำเนื้องอกออกไปเพียงอย่างเดียวหรือการอุดเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงมดลูกและเนื้องอกของมดลูก สิ่งสำคัญคือคุณต้องทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนต่างๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดดังกล่าว หากคุณมีคำถามใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือศัลยแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการ ผ่าตัดมดลูกทางช่องคลอด คุณต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาการแพ้ต่างๆ หรือภาวะสุขภาพใดๆ โดยก่อนเข้ารับการผ่าตัด และคุณจะต้องเข้าพบวิสัญญีแพทย์เพื่อวางแผนการใช้ยาสลบร่วมกัน คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับเวลาในการหยุดรับประทานอาหารและดื่มน้ำก่อนเข้ารับการผ่าตัด คุณควรได้รับคำแนะนำที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามก่อนเข้ารับการผ่าตัด เช่น คุณควรรับประทานในช่วงเวลาก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่ ในกรณีส่วนใหญ่แล้ว คุณควรเริ่มอดอาหารประมาณ 6 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด แต่อาจสามารถดื่มของเหลว เช่น กาแฟ ได้จนกระทั่งสองสามชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด ขั้นตอนการ ผ่าตัดมดลูกทางช่องคลอด การผ่าตัดมักทำโดยใช้ยาสลบ การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 45 นาที นรีแพทย์จะลงรอยผ่ารอบปากมดลูกในบริเวณช่องคลอดด้านบนเพื่อให้สามารถนำมดลูกและคอมดลูกออกมาได้ โดยปกติแล้ว แพทย์จะเย็บเอ็นยึดมดลูกไว้ที่ช่องคลอดส่วนบนเพื่อลดความเสี่ยงมดลูกหย่อนตัวในอนาคต ข้อควรปฏิบัติหลังการ ผ่าตัดมดลูกทางช่องคลอด โดยปกติแล้ว คุณจะสามารถกลับบ้านได้ 1-3 วัน หลังการผ่าตัด ให้พักผ่อนเป็นเวลา […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจดูมุมตา (Gonioscopy)

การ ตรวจดูมุมตา (Gonioscopy) เป็นการตรวจเพื่อดูว่าบริเวณที่มีของเหลวไหลออกจากดวงตา  มีการเปิดหรือปิด การตรวจขึ้นอยู่กับอายุและความเสี่ยงในการเป็นต้อหิน ข้อมูลพื้นฐานการตรวจดูมุมตาคืออะไร การตรวจดูมุมตา (Gonioscopy) เป็นการตรวจตาประเภทหนึ่งที่บริเวณดวงตาส่วนหน้า (anterior chamber) ระหว่างกระจกตาและม่านตา เพื่อดูว่า มุมระบายของเหลวของตา (drainage angle) อยู่ในลักษณะปกติหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มุมระบายของเหลวของตานั้นจะค่อนข้างเปิดกว้าง ส่วนใหญ่คือ 45 องศา และไม่ตีบตัน โดยปกติแล้ว การตรวจดูมุมตา มักดำเนินการในระหว่างการตรวจตาปกติ ขึ้นอยู่กับอายุ และความเสี่ยงในการเกิดต้อหิน (glaucoma) หากแพทย์เห็นว่าคุณควรได้รับการตรวจหาต้อหิน ก็จะทำการตรวจดูมุมตาของคุณ ต้อหินเป็นโรคตาประเภทหนึ่งที่อาจทำลายเส้นประสาทดวงตาจนส่งผลให้ตาบอดได้ หากคุณเป็นต้อหิน การตรวจดูมุมตาสามารถช่วยให้จักษุแพทย์มองเห็นว่าคุณเป็นต้อหินประเภทใด ความจำเป็นในการ ตรวจดูมุมตา แพทย์จะทำการตรวจดูมุมตา ในกรณีต่อไปนี้ ตรวจหาต้อหินที่บริเวณดวงตาด้านหน้า ตรวจสอบว่าบริเวณมุมระบายของเหลวของตามีการปิดหรือเกือบปิดหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยว่าคุณเป็นต้อหินประเภทใด นอกจากนี้ การตรวจมุมดวงตายังสามารถตรวจหาพังผืดหรือความเสียหายอื่นๆ ที่มีต่อบริเวณมุมระบายของเหลวของตาได้ด้วย การรักษาต้อหิน – ในระหว่างการตรวจดูมุมตา แพทย์จะฉายเลเซอร์ผ่านเลนส์พิเศษที่มุมระบายของเหลวของตา การรักษาด้วยเลเซอร์สามารถลดความดันลูกตาและช่วยควบคุมต้อหินได้ ตรวจหาความผิดปกติแต่กำเนิด (birth defects) ที่อาจทำให้เกิดต้อหิน ข้อควรรู้ก่อนตรวจข้อควรรู้ก่อน ตรวจดูมุมตา คุณอาจต้องเข้ารับการตรวจอื่นๆ เพื่อตรวจหาต้อหิน หรือปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับดวงตา การตรวจตาเพิ่มเติม เช่น การตรวจตาด้วย slit lamp ซึ่งเป็นกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่ช่วยให้แพทย์ส่องเห็นทั้งภายในและภายนอกดวงตาได้แบบ 3 มิติ การตรวจวัดความดันลูกตา (tonometry) การตรวจจอประสาทด้วยเครื่องส่องดูตา […]


การทดสอบทางการแพทย์

การตรวจไข้เลือดออก (Dengue Fever Testing)

ข้อมูลพื้นฐาน การตรวจไข้เลือดออกคืออะไร ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคประเภทหนึ่งที่เกิดจากยุงในเขตร้อน และกึ่งเขตร้อน ไข้เลือดออกที่มีอาการไม่รุนแรง ทำให้มีไข้สูง มีผื่นขึ้น ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ ไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue Hemorrhagic Fever) สามารถทำให้เลือดออกมาก ความดันโลหิตลดลงกะทันหัน (shock) และเสียชีวิตได้ การวินิจฉัยไข้เลือดออกเป็นเรื่องยาก เนื่องจากสัญญาณเตือนและอาการต่างๆ สามารถสับสนกับโรคอื่นๆ ได้ เช่น มาลาเรีย ไข้ฉี่หนู (leptospirosis) ไข้ไทฟอยด์ (typhoid fever) การตรวจไข้เลือดออก ใช้เพื่อวินิจฉัยว่า คนที่มีสัญญาณเตือนและอาการต่างๆ และอาจได้รับเชื้อเมื่อไม่นานมานี้ มีการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออก (dengue virus) หรือไม่ ความจำเป็นในการตรวจไข้เลือดออก อาจให้มีการตรวจเมื่อมีสัญญาณเตือนและอาการต่างๆ ที่สัมพันธ์กับไข้เลือดออกที่เกิดขึ้น โดยสัญญาณเตือนและอาการสำคัญบางประการ ได้แก่ มีไข้สูงกะทันหัน (40°C) มีอาการปวดศีรษะหรือปวดหลังดวงตากะทันหัน มีอาการปวดที่ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และ/หรือกระดูก มีเลือดออกที่เหงือกและจมูก มีแผลฟกช้ำง่าย มีจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ ภายในหนึ่งสัปดาห์ที่มีอาการต่างๆ จะต้องดำเนินการตรวจในระดับโมเลกุล (Molecular testing)  เพื่อตรวจหาการติดเชื้อเฉียบพลัน และอาจมีการตรวจแอนติบอดีหลังจากอาการหายไปมากกว่า 4 วัน หากมีการตรวจแอนติบอดี อาจมีการเก็บตัวอย่างเลือดเพิ่มเติม […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดือในเด็ก (Umbilical Hernia Repair For Children)

ข้อมูลพื้นฐานการผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดือในเด็ก คืออะไร ไส้เลื่อนที่สะดือ (umbilical hernia) หรือที่มักเรียกกันว่าสะดือจุ่น เกิดจากการหย่อนตัวในกล้ามเนื้อผนังช่องท้องบริเวณด้านหลังสะดือ ตามปกติ ไส้เลื่อนมักจะปิดตัวก่อนคลอด แต่ทารกประมาณ 1 ใน 5 รายที่คลอดเมื่อครบอายุครรภ์ (หลังจาก 37 สัปดาห์) ยังคงเป็นไส้เลื่อนที่สะดือ และทารกทุกรายที่มีภาวะนี้ เป็นไส้เลื่อนที่สะดือเมื่อเติบโตอยู่ในมดลูก  หากลูกของคุณเป็นไส้เลื่อน อาจสังเกตเห็นได้จากอาการบวมบริเวณสะดือ โดยเฉพาะเมื่อลูกของคุณร้องไห้หรือเกิดแรงตึง ไส้เลื่อนที่สะดืออาจเป็นอันตราย เนื่องจากลำไส้หรืออวัยวะอื่นๆ ภายในช่องท้องถูกกักไว้ และไม่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะดังกล่าว ส่วนใหญ่แล้ว ไส้เลื่อนที่สะดือมักไม่ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนในวัยเด็ก แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ความจำเป็นในการ ผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดือในเด็ก ทารกที่เป็นไส้เลื่อนที่สะดือส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดรักษา เนื่องจากไส้เลื่อนที่สะดือจะหดและปิดได้เองเมื่ออายุ 3-4 ปี การผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดืออาจจำเป็น หากเด็กมีภาวะดังต่อไปนี้ ไส้เลื่อนที่สะดือสร้างความเจ็บปวดและปูดออกมา ส่งผลกระทบต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงบริเวณลำไส้ อายุ 3-4 ปีแล้วแต่ไส้เลื่อนยังไม่ปิดเอง ไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่มากจนพ่อแม่ต้องการให้ผ่าตัด แต่ในกรณีนี้ แพทย์จะแนะนำให้รอจนกว่าเด็กจะอายุ 3-4 ปีก่อน เพื่อดูว่าไส้เลื่อนที่สะดือจะปิดเองหรือไม่ การผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดือจะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงใดๆ ที่สามารถเกิดจากไส้เลื่อนได้เมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ ความเสี่ยงความเสี่ยงของการ ผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดือในเด็ก ไส้เลื่อนที่สะดือมักปิดตัวเองก่อนทารกมีอายุครบ 1 ปี แต่หากเด็กอายุ 3-4 ปีแล้วไส้เลื่อนยังไม่ปิด อาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อปิดไส้เลื่อน โดยไส้เลื่อนสามารถกลับมาเกิดซ้ำได้ การผ่าตัดไส้เลื่อนที่สะดือในเด็กนั้นถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงบางประการ เช่น ความเสี่ยงจากการให้ยาระงับประสาท และการผ่าตัดทั่วไป เช่น ปฏิกิริยาต่อตัวยา […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมด (Subtotal Thyroidectomy)

การ ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมด (Subtotal Thyroidectomy) เป็นการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออก แต่คงเหลือเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์ไว้เล็กน้อย เพื่อให้ต่อมไทรอยด์สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อมูลพื้นฐานการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมด คืออะไร การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบทั้งหมด (subtotal thyroidectomy) เป็นการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกแต่คงเหลือเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์ไว้เล็กน้อย เพื่อให้ต่อมไทรอยด์ยังคงทำงานต่อไปได้ ต่อมไทรอยด์ (thyroid gland) อยู่บริเวณลำคอ ทำหน้าที่สังเคราะห์ฮอร์โมนที่เรียกว่าไทรอกซิน (thyroxine) ซึ่งควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย ในบางครั้ง ต่อมไทรอยด์มีการทำงานมากเกินไป เรียกว่า ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (thyrotoxicosis) ซึ่งก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น น้ำหนักลด เหงื่อออก มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ความจำเป็นในการ ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมด การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมด เป็นการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกแต่คงเหลือเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์ไว้เล็กน้อย เพื่อให้ต่อมไทรอยด์สามารถทำงานต่อไปได้อยู่ โดยปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์จะลดลงสู่ระดับปกติหรือระดับต่ำกว่าเดิม และอาการต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็จะหายไป ความเสี่ยงความเสี่ยงของการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมด เช่นเดียวกันกับการผ่าตัดใหญ่อื่นๆ ความเสี่ยงในการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมดส่วนใหญ่นั้น จะอยู่ที่ผลข้างเคียงจากการใช้ยาชาและยาสลบ ส่วนความเสี่ยงอื่นๆ ก็มาจากการตกเลือด และการติดเชื้อในบริเวณแผลผ่าตัด ความเสี่ยงเฉพาะที่เกิดจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมดนั้นอาจมีดังต่อไปนี้ เส้นประสาท recurrent laryngeal nerves เสียหาย (เส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับเส้นเสียง) ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid) เสียหาย (ต่อมที่ควบคุมระดับของแคลเซียมในร่างกาย) ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ และโดยส่วนใหญ่จะสามารถรักษาหายได้ภายในเวลา 1 ปี ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเกือบหมด เนื่องจากก่อนการผ่าตัดนั้นจะต้องมีการให้ยาสลบหรือยาชา ผู้ป่วยจึงควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 1 คืนก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดสำหรับผู้ป่วยที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ พยาบาลจะทำการเสียบสาย IV สำหรับให้น้ำเกลือและยาเข้ากับข้อมือของผู้ป่วย ก่อนการผ่าตัด แพทย์จะเข้ามาตรวจร่างกายคร่าวๆ […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant)

ปลูกถ่ายไต เป็นการผ่าตัดเพื่อย้ายไตที่มีสุขภาพดีจากบุคคลหนึ่ง (ผู้บริจาค) ไปยังอีกบุคคลหนึ่ง (ผู้รับบริจาค) โดยผู้รับบริจาคมักเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายเรื้อรัง ข้อมูลพื้นฐานปลูกถ่ายไต คืออะไร การปลูกถ่ายไต (kidney transplant) เป็นการผ่าตัดเพื่อย้ายไตที่มีสุขภาพดีจากบุคคลหนึ่ง (ผู้บริจาค) ไปยังอีกบุคคลหนึ่ง (ผู้รับบริจาค) ผู้รับบริจาคมักเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายเรื้อรัง (chronic kidney failure) หน้าที่ของไต คือ กำจัดของเสียออกจากเลือด เมื่อไตทำงานไม่ปกติ ของเสียในร่างกายเริ่มสะสมตัวในเลือด ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนในร่างกาย มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวานประเภท 1 หรือประเภท 2 ความดันโลหิตสูง ไตอักเสบ (Glomerulonephritis) ซึ่งเป็นอาการอักเสบที่หน่วยกรองของไต (glomeruli) ไตอักเสบประเภท Interstitial nephritis ซึ่งเป็นอาการอักเสบของหลอดไตฝอยและอวัยวะโดยรอบ ถุงน้ำในไต (Polycystic kidney disease) ทางเดินปัสสาวะอุดกั้นเป็นเวลานานจากภาวะต่างๆ เช่น ต่อมลูกหมากโต นิ่วในไต และมะเร็งบางชนิด ปัสสาวะไหลย้อนกลับ (Vesicoureteral reflux) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับไปยังไต ไตติดเชื้อซ้ำ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กรวยไตอักเสบ (pyelonephritis) ในหลายกรณี การปลูกถ่ายไตสามารถช่วยให้ผู้รับบริจาคมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้น ความจำเป็นของการ ปลูกถ่ายไต แพทย์จะประเมินอาการในปัจจุบันของคุณ คุณอาจได้รับการปลูกถ่ายไตด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้  คุณมีสุขภาพดีพอสำหรับการผ่าตัด ข้อดีของการปลูกถ่ายไตมีมากกว่าความเสี่ยง คุณได้ลองเข้ารับการรักษาทางเลือกแล้วไม่ได้ผล คุณรับทราบความเสี่ยงของอาการแทรกซ้อน คุณรับทราบว่าคุณจะใช้ยากดภูมิคุ้มกัน และเข้ารับการนัดหมายติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ ความเสี่ยงความเสี่ยงของการปลูกถ่ายไต มีเหตุผลหลายประการที่การปลูกถ่ายไตไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีอาการใดๆ ดังต่อไปนี้ อาการติดเชื้อที่กำลังเป็นอยู่ (จำเป็นต้องรักษาก่อน) โรคหัวใจ ไตวาย มะเร็งที่แพร่กระจายไปยังบริเวณต่าง ๆ ในร่างกาย โรคเอดส์ […]


การทดสอบทางการแพทย์

เวียนศีรษะแบบบ้านหมุน (Vertigo)

เวียนศีรษะแบบบ้านหมุน (Vertigo) เป็นอาการเวียนศีรษะแบบรู้สึกหมุน หรือถูกดึงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง อาการรู้สึกหมุนเป็นอาการของโรคและความผิดปกติหลายอย่าง เมื่อมีอาการเวียนศีรษะบ่อยๆ อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อหูชั้นใน ทำให้มีอาการหูอื้อได้       คำจำกัดความเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน คืออะไร เวียนศีรษะแบบบ้านหมุน (Vertigo) เป็นอาการเวียนศีรษะแบบรู้สึกหมุน หรือถูกดึงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง อาการรู้สึกหมุนเป็นอาการของโรคและความผิดปกติหลายอย่าง เมื่อมีอาการเวียนศีรษะบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อหูชั้นใน ทำให้มีอาการหูอื้อได้ อย่างไรก็ตามอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนสามารถเกิดขึ้นได้ในระยะยาวและระยาวสั้น สามารถเกิดขึ้นได้กับสตรีมีครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับบริเวณหูชั้นใน พบได้บ่อยเพียงใด อาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มายุมากกว่า 65 ปี ขึ้นไป อาการอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน ผู้ป่วยส่วนมใหญ่ทีมีอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนจะมีลักษณะอาการ ดังต่อไปนี้ รู้สึกหมุน รู้สึกเอียง รู้สึกแกว่ง รู้สึกไม่สมดุล รู้สึกถูกดึงในทิศทางหนึ่ง รู้สึกคลื่นไส้ การเคลื่อนไหวของดวงตาที่กระตุกหรือผิดปกติ (Nystagmus) ปวดศีรษะ เหงื่อออก มีเสียงอื้อในหู หรือสูญเสียการได้ยิน อาการเหล่านี้สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลาสองสามนาที หรือนานถึงสองสามชั่วโมงหรือมากกว่า อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีข้อคำถามใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน อาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนมักเกิดจากอาการเจ็บป่วย หรือความผิดปกติต่างๆ ที่ส่งผลต่อหูชั้นใน ซึ่งได้แก่ โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign paroxysmal positional vertigo): มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับตำแหน่งของศีรษะที่ทำให้เกิดความรู้สึกหมุนกะทันหัน ตัวอย่างเช่น ผลึกขนาดเล็กแตกในช่องหูด้านในและสัมผัสปลายประสาทด้านในที่ไวต่อการรู้สึก หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน (Acute labyrinthitis): เกิดจากการอักเสบของโครงสร้างเกี่ยวกับการทำให้สมดุลของหูชั้นใน ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส น้ำในหูไม่เท่ากัน (Ménière’s disease): เกิดจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณของเหลวภายในหูชั้นใน อาการรู้สึกหมุนสามารถเกิดจากภาวะสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ ปัญหาต่างๆ […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsillectomy)

ผ่าตัดต่อมทอนซิล เป็นการผ่าตัดต่อมทอนซิลออกจากร่างกาย ต่อมทอนซิลทำหน้าที่ช่วยต้านการติดเชื้อจากเชื้อโรคที่หายใจเข้าหรือกลืนเข้าไป ข้อมูลพื้นฐาน ผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsillectomy) คืออะไร การผ่าตัดต่อมทอนซิล (tonsillectomy) เป็นการผ่าตัดนำเอาต่อมทอนซิลออกไป ต่อมทอนซิล เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเนื้อเยื่อน้ำเหลือง (เช่น ต่อมต่างๆ ที่คอ) ทำหน้าที่ช่วยต้านการติดเชื้อจากเชื้อโรคที่หายใจเข้าหรือกลืนเข้าไป ต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) เกิดขึ้นเมื่อต่อมทอนซิลติดเชื้อ ทำให้เกิดอาการเจ็บ ไข้ และกลืนลำบาก และทำให้รู้สึกไม่สบาย ความจำเป็นในการ ผ่าตัดต่อมทอนซิล การผ่าตัดมักเป็นวิธีที่แนะนำเนื่องจากเป็นวิธีที่ได้ผลเพียงวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ต่อมทอนซิลอักเสบกลับมาเป็นซ้ำ ผู้ที่มีอาการเจ็บคอเรื้อรังอาจได้รับประโยชน์จากการผ่าตัดนำต่อมทอนซิลออกไป ความเสี่ยง ความเสี่ยงของการผ่าตัดท่อมทอนซิล การใช้ยาปฏิชีวนะในเด็กเป็นเวลานานอาจยับยั้งการติดเชื้อที่เกิดขึ้นเรื้อรังได้ สำหรับผู้ใหญ่นั้น การรักษาประเภทนี้มีโอกาสได้ผลน้อยกว่า โดยเฉพาะโรคไข้และต่อมน้ำเหลืองโต (glandular fever) ที่เกิดขึ้นตามมา การติดเชื้อและอาการเจ็บคอที่ป้องกันได้ด้วยการผ่าตัดอาจมีอาการไม่รุนแรงและส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไม่ใช่แบคทีเรีย อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดมีความเสี่ยงบางประการและจำเป็นต้องอาศัยเวลาพักฟื้น เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนต่างๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด หากมีคำถามใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือศัลยแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ขั้นตอน การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดต่อมทอนซิล คุณต้องปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ อาการแพ้ และภาวะสุขภาพใดๆ และก่อนเข้ารับการผ่าตัด คุณจะต้องเข้าพบวิสัญญีแพทย์เพื่อวางแผนการใช้ยาสลบร่วมกัน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับเวลาที่ควรหยุดรับประทานอาหารและดื่มน้ำก่อนการผ่าตัด คุณควรได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติที่ชัดเจนก่อนการผ่าตัด ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถรับประทานอาหารล่วงหน้าก่อนการผ่าตัดได้หรือไม่ ในกรณีส่วนใหญ่แล้ว คุณควรเริ่มอดอาหารประมาณ 6 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด คุณอาจสามารถดื่มของเหลวต่างๆ ได้ เช่น กาแฟ จนกระทั่งถึงเวลาสองสามชั่วโมงก่อนการผ่าตัด ขั้นตอนการผ่าตัดต่อมทอนซิล การผ่าตัดดำเนินการโดยใช้ยาสลบและมักใช้เวลา 30 นาที แพทย์จะทำการผ่าตัดต่อมทอนซิลผ่านทางปาก โดยจะตัดหรือลอกต่อมทอนซิลออกจากกล้ามเนื้อใต้ต่อมทอนซิล หรือใช้ความร้อนเพื่อกำจัดต่อมทอนซิลและใช้ความร้อนจี้ในบริเวณดังกล่าว หรืออาจใช้พลังงานความถี่วิทยุเพื่อกำจัดต่อมทอนซิล โดยแพทย์จะห้ามเลือดที่ไหลออกมากเกินไปในระหว่างการผ่าตัด หลังการผ่าตัดต่อมทอนซิล ตามปกติ คุณสามารถกลับบ้านได้ในวันถัดไป อาการเจ็บปวดอาจยังคงอยู่เป็นเวลา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไต อวัยวะสุดพิเศษของร่างกาย ที่คุณอาจยังรู้จักไม่ดีพอ

ทุกคนทราบดีว่าบางอวัยวะในร่างกายของมนุษย์ จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ นั่นก็คือคุณจำเป็นต้องมีสมอง หัวใจ ปอด แล้วก็ ไต เมื่อพูดถึงไต แม้ว่ารูปไตจะไม่ปรากฏอยู่บนการ์ดวาเลนไทน์ แต่ไตก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าหัวใจ ในการมีชีวิตอยู่ คุณจำเป็นต้องมีไต ปกติแล้ว ไตมีสองข้าง หากคุณเคยเห็นถั่วแดง คุณอาจพอจินตนาการออกว่าไตมีรูปร่างอย่างไร ไตแต่ละข้างมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว (ประมาณ 13 เซนติเมตร) และกว้างประมาณ 3 นิ้ว (ประมาณ 8 เซนติเมตร) หรือขนาดเทียบเท่าเมาส์ของคอมพิวเตอร์ ในการคลำหาไต ให้เอามือเท้าเอว และเลื่อนมือขึ้นมาจนรู้สึกถึงกระดูกซี่โครง และหากใช้นิ้วหัวแม่มือไปคลำทางด้านหลัง บริเวณที่นิ้วหัวแม่มือคลำเจอ คือบริเวณของไต คุณไม่สามารถคลำเจอไตได้ แต่ไตอยู่บริเวณดังกล่าว คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพิเศษของไตได้ การทำความสะอาด หน้าที่หลักของไตคือการกรองของเสียออกจากเลือด แล้วของเสียเข้าไปอยู่ในเลือกของเราได้อย่างไรกันล่ะ? เลือดทำหน้าที่ส่งสารอาหารต่างๆ ไปทั่วร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายเพื่อย่อยสลายสารอาหาร ของเสียบางชนิดเป็นผลมาจากปฏิกิริยาเหล่านี้ บางชนิดก็เป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการ เนื่องจากมีปริมาณที่เพียงพอแล้ว ของเสียจำเป็นต้องถูกขับออกไป และนี่คือเหตุผลที่ต้องมีไตเพื่อทำหน้าที่นี้ ขั้นแรก เลือดจะถูกส่งไปยังไตโดยหลอดเลือดแดงไต ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายโดยเฉลี่ย คือ หนึ่งแกลลอนถึงหนึ่งแกลลอนครึ่ง ไตกรองเลือดเหล่านั้นในปริมาณมากถึง 400 ครั้งต่อวัน ตัวกรองในไตที่มีมากกว่า 1 ล้านแหน่วยทำหน้าที่ขจัดของเสีย […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน