ขนาดหน้าท้องแต่ละเดือน มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จากการเจริญเติบโตของทารกในท้อง รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ เช่น ท้องลูกแฝด ปริมาณน้ำคร่ำ รวมถึงปัญหาสุขภาพ เช่น ทารกตัวโตหรือเล็กกว่าปกติ โรคอ้วน ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ก้อนเนื้องอกมดลูก ที่อาจต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอ
[embed-health-tool-due-date]
ขนาดหน้าท้องแต่ละเดือน บอกอะไรได้บ้าง
ขนาดหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยและอาจบอกถึงความเปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ หรือปัญหาขณะตั้งครรภ์ได้ ดังนี้
- ส่วนสูงของคุณแม่ตั้งครรภ์ สรีระร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่เหมือนกัน ทำให้พื้นที่ในการเจริญเติบโตของทารกแตกต่างกัน โดยเฉพาะหากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ตัวสูงก็จะมีพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตของทารกมากขึ้น หน้าท้องของคุณแม่จึงอาจมีลักษณะยาวไม่ดันออกด้านอก ส่วนคุณแม่ที่ตัวเตี้ยอาจมีพื้นที่ระหว่างสะโพกกับซี่โครงส่วนล่างน้อย จึงทำให้หน้าถูกดันออกไปด้านข้างมากกว่า ขนาดท้องจึงอาจดูใหญ่กว่า
- ท่าทางของคุณแม่ตั้งครรภ์ บางท่าทางของคุณแม่ตั้งครรภ์ เช่น นั่งหลังค่อม เดิมก้มหลัง อาจทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องคลายออกและทำให้หน้าท้องมีโอกาสขยายออกเพิ่มขึ้น
- การเจริญเติบโตและตำแหน่งของทารกในครรภ์ ขนาดและน้ำหนักตัวของทารกจะเพิ่มขึ้นตามอายุครรภ์ ซึ่งอาจถ่วงให้หน้าท้องต่ำลงและดูมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกเริ่มกลับหัวและเปลี่ยนตำแหน่งเคลื่อนตัวลงสู่อุ้งเชิงกราน ก็อาจทำให้ขนาดท้องลดลงเล็กน้อย
- การตั้งครรภ์ลูกแฝด การอุ้มท้องที่มีทารกมากกว่า 1 คน อาจทำให้กล้ามเนื้อช่องท้องยืดออก ซึ่งทำให้หน้าท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น
- ปริมาณน้ำคร่ำ ปริมาณน้ำคร่ำที่มากเกินไปอาจทำให้ขนาดหน้าท้องใหญ่ขึ้นได้ เพราะตามปกติน้ำคร่ำจะมีปริมาณ 1 ลิตร หากเกินกว่านั้นอาจทำให้หน้าท้องใหญ่ขึ้น ในบางกรณี หากมีคุณแม่มีน้ำคร่ำมากอาจต้องเข้าพบคุณหมอเพื่อทำการรักษา เพราะอาจทำให้คุณแม่มีอาการแน่นหน้าอก แน่นท้อง หรือหายใจไม่ออกได้
- ขนาดตัวของทารกใหญ่กว่าปกติ ทั้งขนาดตัวทารกที่ใหญ่ขึ้นตามการเจริญเติบโตแต่ละเดือน หรือขนาดตัวทารกที่ใหญ่กว่าปกติเพราะปัญหาทางสุขภาพ เช่น โรคอ้วน ภาวะบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์ตัวใหญ่กว่าปกติ จนหน้าท้องมีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย
- น้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์เกินมาตรฐาน โดยเฉพาะคุณแม่ที่เป็นโรคอ้วนจากการรับประทานอาหารมากเกินไปในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้น้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์แล้ว ไขมันที่สะสมในร่างกายและหน้าท้องยังอาจทำให้หน้าท้องมีขนาดใหญ่ขึ้นได้เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของ ขนาดหน้าท้องแต่ละเดือน
ขนาดหน้าท้องแต่ละเดือนตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ มีการเปลี่ยนไปแปลงเกิดขึ้น ดังนี้
เดือนที่ 1
ไข่และอสุจิปฏิสนธิจนฝังตัวที่ผนังโพรงมดลูกแล้ว แต่ขนาดหน้าท้องในเดือนนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนนูนออกมา
เดือนที่ 2
มดลูกและตัวอ่อนในครรภ์ยังคงพัฒนาต่อไป แต่ยังไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของหน้าท้อง
เดือนที่ 3
ในช่วงเดือนนี้มดลูกและตัวอ่อนมีการพัฒนาอวัยวะต่าง ๆ แต่อาจยังไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของหน้าท้อง แต่หากเป็นคุณแม่ที่เคยผ่านการตั้งครรภ์มาก่อนหรือตั้งครรภ์ลูกแฝดในเดือนนี้ ก็อาจสังเกตเห็นถึงหน้าท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากน้ำหนักของทารกในครรภ์และกล้ามเนื้อช่องท้องอาจไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับท้องแรก
เดือนที่ 4
เป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งคุณแม่อาจสังเกตได้ว่าหน้าท้องเริ่มขยายขึ้นอย่างชัดเจน อาจสังเกตเห็นก้อนนูนขนาดเล็กที่บริเวณยอดหัวหน่าว โดยเฉพาะในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่รูปร่างเล็กผอมจะสังเกตเห็นการขยายตัวของหน้าท้องได้ชัดเจนขึ้น
เดือนที่ 5
การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์อาจทำให้หน้าท้องของคุณแม่ขยายออกอย่างชัดเจน โดยขนาดหน้าท้องจะนูนขึ้นสูงถึงประมาณบริเวณสะดือ จนสามารถสังเกตได้ว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่
เดือนที่ 6
สำหรับเดือนนี้หน้าท้องของคุณแม่จะใหญ่ขึ้นมาก หน้าท้องของคุณแม่บางคนอาจยื่นออกมาและสะดือก็อาจยื่นออกมาด้วย นอกจากนี้ คุณแม่บางคนอาจมีรอยแตกลายบริเวณหน้าท้องเกิดขึ้นด้วย
เดือนที่ 7
เป็นช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ทารกในท้องจึงมีขนาดตัวใหญ่ขึ้น รวมทั้งมดลูกก็จะขยายตัวมากขึ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในท้อง ทำให้ขนาดหน้าท้องของคุณแม่ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ คุณแม่อาจเริ่มมีอาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อและเมื่อยล้ามากขึ้น เพราะการรับน้ำหนักทารกในครรภ์
เดือนที่ 8
ขนาดหน้าท้องในเดือนนี้จะใหญ่มากทำให้คุณแม่เคลื่อนไหวลำบากขึ้น เช่น ลุกนั่งลำบาก เดินได้ช้าลง รวมถึงอาจรู้สึกอึดอัดมาก นอนหลับไม่ค่อยสบายเพราะการรับน้ำหนักของท้อง และอาจปวดหลังมากขึ้นด้วย
เดือนที่ 9
เป็นเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์หน้าท้องจึงใหญ่กว่าทุก ๆ เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งทารกในครรภ์เริ่มกลับหัวเปลี่ยนตำแหน่งเข้าสู่อุ้งเชิงกรานเพื่อเตรียมคลอด หน้าท้องของคุณแม่จึงอาจลดระดับต่ำลงมากกว่าเดิมเล็กน้อย เพราะตำแหน่งของทารกในครรภ์เคลื่อนตัวลงสู่อุ้งเชิงกรานมากขึ้น