ตกเลือด คือภาวะที่มีเลือดออกในปริมาณมากโดยทั่วไปมักหมายถึงอาการเลือดออกทางช่องคลอดในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์และหลังการคลอดบุตร หากพบในช่วงก่อนคลอดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก รกเกาะต่ำ การแท้งบุตร หากคุณแม่สังเกตว่ามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีเลือดออกทางช่องคลอด ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาทันที ก่อนส่งผลอันตรายต่อสุขภาพของตนเองและลูกน้อยในครรภ์
[embed-health-tool-pregnancy-weight-gain]
คำจำกัดความ
ตกเลือด คืออะไร
ตกเลือด คือภาวะที่มีเลือดออกทางช่องคลอดปริมาณมาก อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ในช่วงแรก หรืออาจเกิดหลังจากคลอดบุตร ทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว และอาจนำไปสู่อาการช็อก หมดสติ และเสียชีวิตได้
อาการ
อาการตกเลือด
อาการตกเลือด อาจสังเกตได้จาก
- เลือดออกทางช่องคลอดในปริมาณมาก อาจเป็นสีชมพูหรือสีแดง พบร่วมกับก้อนเลือดขนาดใหญ่ และอาจหยุดไหลยาก
- มีไข้ หนาวสั่น
- คลื่นไส้
- วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง ตาพร่ามัว
- หัวใจเต้นเร็ว
- ความดันโลหิตลดลง
- ปวดท้องรุนแรง
คุณแม่ตั้งครรภ์หรือคุณแม่ที่เพิ่งคลอดหากพบว่ามีอาการเลือดไหลออกจากช่องคลอด ไม่ว่าจะในปริมาณน้อยหรือมาก ก็ควรพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจอย่างละเอียดทันที
สาเหตุ
สาเหตุของการตกเลือด
การตกเลือดสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด ซึ่งมีสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนี้
การตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ อาจมีสาเหตุมาจาก
- ตั้งครรภ์นอกมดลูก เกิดจากไข่ที่ปฏิสนธิแล้วฝังตัวนอกมดลูก พบได้มากในท่อนำไข่ เมื่อตัวอ่อนมีขนาดใหญ่ขึ้นจะส่งผลให้ท่อนำไข่ที่ตัวอ่อนฝังตัวอยู่แตกออก ทำให้เกิดการเสียเลือดในช่องท้องปริมาณมาก ส่งผลให้ปวดท้องอย่างรุนแรง ความดันโลหิตตก จนช็อคและเสียชีวิตได้
- รกเกาะต่ำ เป็นภาวะที่รกปกคลุมปากมดลูกบางส่วนหรือทั้งหมด ส่งผลให้มีอาการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ในปริมาณมาก บางคนอาจหายได้เองเมื่อมดลูกขยายตัวขึ้น แต่หากยังคงมีอาการเลือดออกตลอดเวลาจนถึงช่วงไตรมาสที่ 2 หรือ 3 ของการตั้งครรภ์ ควรเข้าพบคุณหมอทันที
- รกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental abruption) เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงระหว่างตั้งครรภ์ ที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ที่อาจส่งผลให้รกขาดออกซิเจนและสารอาหาร จนทำให้รกบางส่วนหรือทั้งหมดหลุดลอกออก และเกิดอาการตกเลือดในปริมาณมากได้
- มดลูกแตก อาจพบได้ในคุณแม่ที่เคยผ่าคลอด เนื่องจากแผลจากการผ่าตัดฉีกขาดทำให้มีอาการปวดท้องและตกเลือดภายในท้องได้
- การแท้งบุตร มักเกิดขึ้นภายในการตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์แรก ทำให้มีอาการตกเลือดทางช่องคลอด ร่วมกับมีชิ้นเนื้อที่เป็นชิ้นส่วนการตั้งครรภ์หลุดออกมาด้วย หากชิ้นส่วนการตั้งครรภ์หลุดออกมาไม่สมบูรณ์ จะทำให้ร่างกายเสียเลือดปริมาณมาก
- การตั้งครรภ์ที่ไม่สมบูรณ์ หรือ ครรภ์ไข่ปลาอุก (Molar pregnancy) เป็นภาวะที่พบได้ยาก เกิดจากความผิดปกติของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว ทำให้ไม่อาจพัฒนาเป็นทารกที่สมบูรณ์ ส่งผลให้มีอาการตกเลือดในปริมาณมากและแท้งบุตร ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์
การตกเลือดหลังคลอด อาจมีสาเหตุมาจากการที่มดลูกไม่หดตัวหลังคลอด หรือภาวะรกหลุดลอกออกจากมดลูกไม่หมด และนำไปสู่การตกเลือด นอกจากนี้ อาการตกเลือดยังอาจเกิดจากการที่มดลูกและเส้นเลือดฉีกขาดระหว่างคลอด เนื่องจากทารกอาจมีลำตัวใหญ่ ทำให้เกิดอาการห้อเลือดในช่องคลอด และกระดูกเชิงกราน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการตกเลือดหลังคลอดได้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ตกเลือด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ตกเลือด มีดังนี้
- โรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
- โรคอ้วน
- โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การตั้งครรภ์ในช่วงอายุมาก
- การมีทารกในครรภ์มากกว่า 1 คน
- ปัญหาเกี่ยวกับรก เช่น รกเกาะต่ำ รกลอกก่อนกำหนด
- มดลูกขยายมากเกินไปเนื่องจากทารกมีขนาดตัวใหญ่
- การคลอดที่รวดเร็วกว่าปกติ
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยอาการตกเลือด
การวินิจฉัยอาการตกเลือด อาจทำได้โดยการวัดชีพจร วัดระดับออกซิเจน วัดความดันโลหิต และประเมินปริมาณของเลือดที่ออกจากช่องคลอดว่ามากเพียงใด โดยใช้ฟองน้ำดูดซับเลือดและชั่งน้ำหนัก จากนั้นจะตรวจร่างกายร่วมกับตรวจจำนวนเม็ดเลือดแดง การแข็งตัวของเลือดร่วมด้วย เพื่อหาสาเหตุที่อาจทำให้เกิดการตกเลือด
การรักษาอาการตกเลือด
การรักษาอาการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ เป็นการรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกเลือด เช่น ในกรณีที่แท้งไม่สมบูณ์ อาจต้องพิจารณาขูดมดลูก ในกรณีที่ตั้งครรภ์นอกมดลูก อาจต้องพิจารณาผ่าตัดนำท่อนำไข่ออก
สำหรับผู้ที่ตกเลือดหลังคลอด คุณหมออาจรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- ยากระตุ้นให้เกิดการหดตัวของมดลูก เช่น ออกซิโทซิน (Oxytocin) เมทิลเออร์โกโนวีน (Methylergonovine) และยา ไมโสพรอสตอล (Misoprostol)
- การนวดให้มดลูกหดตัวเพื่อช่วยขับรกที่ตกค้างอยู่ให้ออกไป
- การขูดมดลูก กรณีมีชิ้นส่วนรกค้างอยู่ในโพรงมดลูก
- ผ่าตัดใส่บอลลูนเข้าไปบริเวณมดลูก เพื่อช่วยชะลอการตกเลือด
- ผ่าตัดผ่านการส่องกล้อง เพื่อซ่อมแซมหลอดเลือดที่ทำให้เลือดออก
- ผ่าตัดนำมดลูกออก ซึ่งอาจเป็นวิธีสุดท้ายที่คุณหมอเลือก หากอาการตกเลือดไม่ดีขึ้น
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการตกเลือด
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการตกเลือด อาจทำได้ดังนี้
- ออกกำลังกายในระดับเบา เช่น แอโรบิก ว่ายน้ำ เดิน
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และหลีกเลี่ยงการรับประทานที่มีโซเดียม น้ำตาล และไขมันสูง เช่น อาหารแปรรูป ของทอด
- หยุดสูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างตั้งครรภ์
- รักษาหรือควบคุมอาการของโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่ตามคำแนะนำของคุณหมอ
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด