ยุงมักเป็นสาเหตุในการแพร่กระจายของโรคไข้เดงกี่ (Dengue fever) ที่คนไทยนิยมเรียกว่าไข้เลือดออก โดยปกติแล้ว ไข้เดงกี่หรือไข้เลือดออกจะไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองในภายในระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ผู้ป่วยส่วนหนึ่งก็อาจมีอาการรุนแรง จนกลายเป็น โรคไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue hemorrhagic fever) ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในปัจจุบัน สัญญาณของปัญหา ไข้เลือดออกในเด็ก หรือ ไข้เดงกี่ในเด็ก มีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ปกครองจึงควรรับทราบถึงอาการไข้ เพื่อหาทางจัดการได้อย่างทันท่วงที
สัญญาณและอาการ
ในอดีต ไข้เดงกี่มักถูกเรียกว่าไข้กระดูกแตก (Breakbone fever) เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีอาการเจ็บกระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ จนทำให้รู้สึกเหมือนกระดูกกำลังจะแตก
ลูกของคุณอาจพบกับสัญญาณและอาการที่พบได้ทั่วไป ได้แก่
- มีไข้สูง ซึ่งอาจสูงถึง 40° องศาเซลเซียส
- เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟัน
- ลูกของคุณอาจโวยวายจากอาการปวดศีรษะรุนแรง
- มีอาการเจ็บนัยน์ตาด้านหลัง ปวดกระบอกตา
- ปวดกล้ามเนื้อหรือกระดูก
- มีจุดเลือดออกตามร่างกาย
โดยทั่วไป ไข้เลือดออกในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก และผู้ติดเชื้อไข้เดงกี่เป็นครั้งแรก จะมีอาการที่ไม่รุนแรง ในขณะที่ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่และผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เดงกี่ อาจมีอาการของโรคปานกลางจนถึงรุนแรง ในคนที่เคยติดเชื้อซ้ำอาการจะรุนแรงกว่า ไม่จำเป็นว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
การวินิจฉัยไข้เลือดออกในเด็ก
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในเด็กทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อการวินิจฉัย โดยมีหลายวิธี ดังนี้
- การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) โดยการประเมินค่าเม็ดเลือดขาว (WBC count) เกล็ดเลือด (Platelet count) ฮีมาโตคริต (Hematocrit) รวมถึงการทดสอบ Tourniquet test
- การตรวจหาแอนติเจน NS1 ใช้ชุดตรวจแบบ Rapid test หรือวิธี ELISA เพื่อตรวจโปรตีนจำเพาะของเชื้อไวรัสเดงกี่
- การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสเดงกี่ ใช้เทคนิค RT-PCR หรือ Real-time RT-PCR เพื่อตรวจยืนยันการมีเชื้อไวรัส
- การตรวจหาแอนติบอดี IgM และ IgG ทำได้ด้วยชุดตรวจ Rapid test, วิธี ELISA หรือวิธี PRNT เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นหลังการติดเชื้อ
- การแยกเชื้อไวรัสเดงกี่ เพาะเชื้อจากตัวอย่างเลือด โดยใช้อาศัยตัวยุงหรือนำเข้าสู่เซลล์เพาะเลี้ยงเพื่อยืนยันชนิดของไวรัส
- หากสงสัยว่าเด็กอาจจะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก หรือมีสัญญาณของโรคไข้เลือดออก ควรพาลูกเข้ารับการตรวจและรักษาในโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
การรักษา ไข้เลือดออกในเด็ก
หากอาการของไข้เลือดออกไม่รุนแรง สามารถรักษาได้ตามอาการ ควบคู่กับการพักผ่อนอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากมีอาการไข้เลือดออกรุนแรง อาจจำเป็นต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด โดยคุณหมอจะตรวจเลือดและวัดความดันโลหิตเพื่อหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ระหว่างที่ลูกเข้ารับการรักษาไข้เลือดออก คุณพ่อคุณแม่ช่วยจัดการกับไข้เลือดออกหรือไข้เดงกี่ได้ โดยการทำตามคำแนะนำเหล่านี้
- ให้ลูกรับประทานอาหารที่สะอาด ครบ 5 หมู่ โดยเน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและอาหารที่ช่วยเสริมสร้างให้ระบบภูมิคุ้มกันของลูกคุณแข็งแรงขึ้น เพิ่มไข่ ไก่ ปลา ผลิตภัณฑ์จากนม เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ไวยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เนื่องจากเสี่ยงเลือดออกได้ง่าย
- หมออาจจ่ายยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ช่วยให้ไข้ลดลงไวขึ้นได้ ด้วยการนำผ้าชุบน้ำมาวางบนหน้าผากให้ลูก ให้ยาลดไข้ และเช็ดตัวลดไข้ ห้ามให้ยาแอสไพริน (aspirin) เพื่อลดไข้
- ให้ลูกดื่มน้ำให้มาก ๆ หากลูกรับประทานอาหารไม่ได้ อาจให้ลูกดื่มเกลือแร่ (ORS powder) เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กขาดน้ำ ดื่มเกลือแร่หากทานอาหารไม่ได้
- งดให้รับประทานอาหารที่มีสีดำและสีแดง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสีของอุจจาระ ทำให้เฝ้าระวังอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารยากขึ้น
โดยปกติแล้ว อาการของโรคไข้เลือดออกมักจะดีขึ้นภายใน 5-7 วัน แล้วหายเป็นปกติใน 10 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกตามร่างกาย ควรพาเข้าพบคุณหมอในทันที
[embed-health-tool-vaccination-tool]