ข้อบ่งใช้ เออร์โกแคลซิเฟอรอล
เออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) ใช้สำหรับ
เออร์โกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol) หรือวิตามิน ดี2 (Vitamin D2)เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาและป้องกันความผิดปกติของกระดูก เช่น โรคกระดูกอ่อนในเด็ก (rickets) หรือโรคกระดูกน่วม (osteomalacia) ผิวหนังจะสร้างวิตามินดีเมื่อเปิดรับแสงแดด การใช้ครีมกันแดด เสื้อผ้าป้องกัน เปิดรับแสงแดดน้อย ผิวสีเข้ม และอายุนั้นอาจจะจำกัดการสร้างวิตามินดีจากแสงแดดที่เพียงพอ
วิตามินดีและแคลเซียมจะใช้เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) วิตามินดียังใช้ร่วมกับยาอื่นเพื่อรักษาภาวะแคลเซียมต่ำหรือฟอสเฟตต่ำที่เกิดจากความผิดปกติบางอย่าง เช่น ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ต่ำ (hypoparathyroidism) ภาวะดื้อต่อฮอร์โมนพาราไธรอยด์ (pseudohypoparathyroidism) ภาวะฟอสเฟตในเลือดต่ำตามกรรมพันธุ์ (familial hypophosphatemia) ยานี้ยังอาจใช้สำหรับผู้เป็นโรคไตเพื่อช่วยรักษาระดับของแคลเซียมให้เป็นปกติและให้กระดูกเจริญเติบโตตามปกติ ยาวิตามินดีรูปแบบหยด (หรืออาหารเสริมอื่นๆ) นั้นจะใช้กับเด็กทารกที่ดื่มนมแม่เนื่องจากน้ำนมแม่นั้นมักจะมีวิตามินดีต่ำ
วิธีการใช้ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2)
- รับประทานวิตามินดีตามที่กำหนด วิตามินดีจะดูดซึมได้ดีที่สุดหากรับประทานหลังมื้ออาหารแต่สามารถรับประทานพร้อมกับหรือปราศจากอาหารก็ได้ ยาแอลฟาแคลซิดอล (Alfacalcidol) มักจะรับประทานร่วมกับอาหาร ควรทำตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- หากแพทย์สั่งให้คุณใช้ยานี้ ควรใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ ปริมาณแสงแดดที่เปิดรับ อาหาร อายุ และการตอบสนองต่อการรักษา
- หากคุณใช้ยาในรูปแบบยาน้ำควรตวงยาอย่างระมัดระวังโดยใช้อุปกรณ์สำหรับตวงยา อย่าใช้ช้อนธรรมดาเพราะอาจจะได้ขนาดยาที่ไม่ถูกต้อง
- หากคุณใช้ยาในรูปแบบยาเม็ดสำหรับเคี้ยว ควรเคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืน
- หากคุณใช้ยาในรูปแบบละลายเร็ว ควรเช็ดมือให้แห้งก่อนจับยานี้ วางยาไว้บนลิ้นแล้วปล่อยให้ยาละลายจนหมดก่อนกลืนพร้อมกับน้ำลายหรือน้ำเปล่า คุณไม่จำเป็นต้องรับประทานยานี้พร้อมกับดื่มน้ำ
- ยาบางชนิด เช่น ยาไบล์แอซิดซีเควสแตรนต์ (bile acid sequestrants) เช่นคอเลสไทรามีน (cholestyramine) หรือคอเลสติพอล (colestipol) มิเนอรัล ออยล์ (mineral oil) หรือออริสแตท (orlistat) สามารถลดการดูดซึมวิตามินดีได้ ควรรับประทานยาเหล่านี้ให้ห่างจากเวลาที่รับประทานวิตามินดีให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ (อย่างน้อยห่างกัน 2 ชั่วโมง หากเป็นไปได้ควรนานกว่านี้) หรือคุณอาจจะรับประทานวิตามินดีก่อนนอนหากคุณต้องใช้ยาเหล่านี้ โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรถึงระยะเวลาที่คุณควรจะรอก่อนใช้ยาและสอบถามเกี่ยวกับตารางการใช้ยาที่จะได้ผลสำหรับยาทั้งหมดที่คุณกำลังใช้
- รับประทานยานี้เป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวันหากคุณใช้ยาวันละครั้ง หากคุณใช้ยาสัปดาห์ละครั้ง ควรใช้ยาในวันเดียวกันกับทุกสัปดาห์ คุณสามารถทำเครื่องหมายเตือนความจำไว้บนปฏิทิน
- หากแพทย์แนะนำให้คุณรับประทานอาหารพิเศษ เช่นรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง คุณควรจะรับประทานอาหารตามที่แนะนำเพื่อรับประโยชน์จากยาสูงสุดและเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่รุนแรง อย่ารับประทานอาหารเสริมอื่นหรือวิตามินๆ เว้นเสียแต่แพทย์จะสั่งให้ทำเช่นนั้น
- หากคุณคิดว่าคุณอาจจะมีปัญหาสุขภาพที่รุนแรง โปรดรับการรักษาในทันที
การเก็บรักษายาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2)
ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) บางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) ลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูก สอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2)
- ก่อนใช้ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ (เช่น ถั่วลิสงหรือถั่วเหลือง) ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
- ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะระดับแคลเซียมหรือวิตามินดีสูง เช่น ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcemia) ภาวะวิตามินดีเกิน (hypervitaminosis D) ดูดซึมสารอาหารได้ลำบาก หรือกลุ่มอาการดูดซึมอาหารผิดปกติ (malabsorption syndrome) โรคไต โรคตับ
- ยารูปแบบยาน้ำ ยาเม็ดสำหรับเคี้ยว หรือยาเม็ดแบบละลายได้นั้นมีส่วนผสมของน้ำตาล และ/หรือน้ำตาลเทียม (aspartame) ยาน้ำนั้นยังอาจจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อีกด้วย ควรระมัดระวังการใช้ยาหากคุณเป็นโรคเบาหวาน โรคตับ โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria) หรือโรคอื่นๆ ที่ต้องจำกัดหรือหลีกเลี่ยงสารในอาหารเหล่านี้ โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรถึงวิธีการใช้ยาอย่างปลอดภัย
- ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)
- ระหว่างการตั้งครรภ์ การใช้ยาวิตามินดีมากกว่าปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวันควรจะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โปรดปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา
- ยานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) จัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2)
- วิตามินดีในขนาดปกตินั้นมักจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
- หากแพทย์สั่งให้คุณใช้ยานี้ โปรดจำไว้ว่แพทย์ได้คำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
- การรับวิตามินดีมากเกินไปอาจทำให้ระดับแคลเซียมสูงเกินไปจนเป็นอันตรายได้ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากคุณมีสัญญาณของระดับวิตามินดีหรือแคลเซียมสูงดังต่อไปนี้ คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร กระหายน้ำเพิ่มขึ้น ปัสสาวะมากขึ้น มีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจ เหนื่อยล้าผิดปกติ
- การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
- ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ ยาฟอสเฟต ไบน์เดอร์ (phosphate binders)
- โปรดอ่านฉลากยาทั้งหมดของคุณทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ (เช่น ยาลดกรด ยาระบาย วิตามิน) เนื่องจากยาเหล่านี้อาจจะมีแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสเฟต หรือวิตามินดี โปรดสอบถามวิธีการใช้ยาเหล่านี้อย่างปลอดภัยจากเภสัชกร
- วิตามินดีนั้นคล้ายกับยาแคลซิไทรออล (calcitriol) เป็นอย่างมาก อย่าใช้ยาที่มีส่วนผสมของแคลซิไทรออลขณะที่กำลังใช้ยาวิตามินดี
- ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจในห้องแล็บบางชนิด (รวมถึงการทดสอบระดับคอเลสเตอรอล) และอาจทำให้ผลตรวจเป็นเท็จได้ โปรดแจ้งบุคลากรในห้องแล็บและแพทย์ของคุณทุกคนให้ทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้
ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) อาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) อาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) อาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) สำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ต่ำ
50,000 ถึง 200,000 หน่วยสากล รับประทานทุกวันร่วมกับยาแคลเซียมแลคเตท (calcium lactate) 4 กรัม วันละ 6 ครั้ง
คำแนะนำ
- ช่วงระหว่างขนาดยาสำหรับการรักษาและขนาดยาที่เป็นพิษนั้นแคบ
- ขนาดยาจะต้องแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ
- ควรเฝ้าระวังระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหากจำเป็น
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคกระดูกอ่อนในเด็ก
12,000 ถึง 500,000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
คำแนะนำ
- ช่วงระหว่างขนาดยาสำหรับการรักษาและขนาดยาที่เป็นพิษนั้นแคบ
- ขนาดยาจะต้องแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ
- ควรเฝ้าระวังระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหากจำเป็น
- ควรทำการเอ็กซเรย์กระดูกทุกเดือนจนกว่าอาการจะได้รับการรักษาและคงที่แล้ว
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะฟอสเฟตในเลือดต่ำตามกรรมพันธุ์
12,000 ถึง 500,000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
คำแนะนำ
- ช่วงระหว่างขนาดยาสำหรับการรักษาและขนาดยาที่เป็นพิษนั้นแคบ
- ขนาดยาจะต้องแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ
- ควรเฝ้าระวังระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหากจำเป็น
- ควรทำการเอ็กซเรย์กระดูกทุกเดือนจนกว่าอาการจะได้รับการรักษาและคงที่แล้ว
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาเสริมวิตามินและแร่ธาตุ
- ปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน (Recommended Daily Allowance) 600 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
- ปริมาณสารอาหารสูงสุดที่สามารถบริโภคได้ในแต่ละวัน (Tolerable Upper Intake Level) 4000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
ขนาดยาสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมวิตามินและแร่ธาตุขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน
- จนถึงอายุ 70 ปี 600 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
- อายุมากกว่า 70 ปี 800 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
ปริมาณสารอาหารสูงสุดที่สามารถบริโภคได้ในแต่ละวัน 4000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
การปรับขนาดยา
- ปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวันของสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรคือ 600 หน่วยสากลต่อวัน
- ปริมาณสารอาหารสูงสุดที่สามารถบริโภคได้ในแต่ละวันสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรคือ 4000 หน่วยสากลต่อวัน
คำแนะนำอื่นๆ
การเก็บรักษา
- เก็บไว้ในอุณหภูมิควบคุมที่อุณหภูมิห้อง
คำแนะนำทั่วไป
- ช่วงระหว่างขนาดยาสำหรับการรักษาและขนาดยาที่เป็นพิษนั้นแคบ
- ผลของวิตามินดีนั้นสามารถอยู่ได้นาน 2 เดือนขึ้นไปหลังจากเสร็จสิ้นการรักษา
การเฝ้าระวัง
- ควรเฝ้าระวังระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหากจำเป็น
ขนาดยาเออร์โกแคลซิเฟอรอล (วิตามิน ดี2) สำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคกระดูกอ่อนในเด็ก
12,000 ถึง 500,000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
คำแนะนำ
- ขนาดยาของเด็กจะแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล
- ช่วงระหว่างขนาดยาสำหรับการรักษาและขนาดยาที่เป็นพิษนั้นแคบ
- ขนาดยาจะต้องแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ
- ควรเฝ้าระวังระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหากจำเป็น
- ควรทำการเอ็กซเรย์กระดูกทุกเดือนจนกว่าอาการจะได้รับการรักษาและคงที่แล้ว
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาภาวะฟอสเฟตในเลือดต่ำตามกรรมพันธุ์
12,000 ถึง 500,000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
คำแนะนำ
- ขนาดยาของเด็กจะแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล
- ช่วงระหว่างขนาดยาสำหรับการรักษาและขนาดยาที่เป็นพิษนั้นแคบ
- ขนาดยาจะต้องแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ
- ควรเฝ้าระวังระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหากจำเป็น
- ควรทำการเอ็กซเรย์กระดูกทุกเดือนจนกว่าอาการจะได้รับการรักษาและคงที่แล้ว
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ต่ำ
50,000 ถึง 200,000 หน่วยสากล รับประทานทุกวันร่วมกับยาแคลเซียมแลคเตท (calcium lactate) 4 กรัม วันละหกครั้ง
คำแนะนำ
- ขนาดยาของเด็กจะแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล
- ช่วงระหว่างขนาดยาสำหรับการรักษาและขนาดยาที่เป็นพิษนั้นแคบ
- ขนาดยาจะต้องแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ
- ควรเฝ้าระวังระดับของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหากจำเป็น
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อเสริมวิตามินและแร่ธาตุ
ปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน
- อายุ 0 ถึง 12 เดือน 400 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
- อายุ 1 ปีขึ้นไป 600 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
ปริมาณสารอาหารสูงสุดที่สามารถบริโภคได้ในแต่ละวัน
- อายุ 0 ถึง 6 เดือน 1000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
- อายุ 7 ถึง 12 เดือน 1500 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
- อายุ 1 ถึง 3 ปี 2500 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
- อายุ 4 ถึง 8 ปี 3000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
- อายุ 9 ปีขึ้นไป 4000 หน่วยสากล รับประทานทุกวัน
รูปแบบของยา
ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- ยาแคปซูลสำหรับรับประทาน
- ยาสารละลายสำหรับฉีด
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- ยาผงผสม
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]