แคลเซียม (Calcium) คือแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อกระดูกและฟัน หัวใจ เส้นประสาท และระบบการแข็งตัวของเลือด ก็ยังจำเป็นต้องใช้แคลเซียมในการทำงานเช่นกัน ใช้เพื่อรักษาอาการต่างๆ
 
ข้อบ่งใช้
แคลเซียม ใช้ทำอะไร
แคลเซียม (Calcium) คือแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อกระดูกและฟัน หัวใจ เส้นประสาท และระบบการแข็งตัวของเลือด ก็ยังจำเป็นต้องใช้แคลเซียมในการทำงานเช่นกัน ใช้เพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น
- การรักษาและป้องกันระดับแคลเซียมต่ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคกระดูก เช่น โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) โรคกระดูกอ่อนในเด็ก (Rickets) โรคกระดูกอ่อน (Osteomalacia)
 - กลุ่มอาการก่อนมีประเดือน (PMS)
 - ตะคริวที่ขาขณะตั้งครรภ์
 - ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (ภาวะครรภ์เป็นพิษ)
 - ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
 - อาการแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัดบายพาสลำไส้ ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคลายม์ (Lyme Disease)
 - ระดับฟลูออไรด์สูงในเด็ก
 - ระดับตะกั่วสูง
 
การทำงานของแคลเซียม
ยังไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับการทำงานของแคลเซียมมากพอ โปรดปรึกษากับแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบว่า
- กระดูกและฟันมีส่วนประกอบของแคลเซียมมากกว่า 99 % ของร่างกายมนุษย์ แคลเซียมยังพบได้ในเลือด กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออื่นๆ แคลเซียมในกระดูกจะใช้เป็นแหล่งสะสม ที่สามารถปล่อยเข้าสู่ร่างกายได้เมื่อจำเป็น
 - ความเข้มข้นของแคลเซียมในร่างกายมักจะลดลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมันถูกปล่อยออกจากร่างกายผ่านทางเหงื่อ เซลล์ผิว และของเสีย นอกจากนี้เมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น การดูดซึมแคลเซียมก็จะลดลง เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง การดูดซึมแคลเซียมอาจแตกต่างไปตามเชื้อชาติ เพศ และอายุ
 - กระดูกจะถูกย่อยสลายและสร้างขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา ซึ่งจำเป็นต้องใช้แคลเซียมในกระบวนการนั้น การรับประทานแคลเซียมเพิ่มขึ้นจะช่วยให้การสร้างกระดูกใหม่ได้อย่างเหมาะสม และแข็งแรง
 
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ แคลเซียม
ปรึกษาแพทย์หรึอเภสัชกร หาก
ปรึกษาแพทย์ เภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในกรณีที่
- คุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากขณะที่คุณตั้งใจว่าจะให้นมบุตรหรือกำลังให้นมบุตร คุณควรจะใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
 - หากคุณกำลังใช้ยาอื่นอยู่ รวมไปถึงยาที่คุณกำลังใช้อยู่ซึ่งสามารถหาซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา
 - หากคุณมีอาการแพ้กับสารแคลเซียม ยาอื่นๆ หรือสมุนไพรอื่นๆ
 - หากคุณมีอาการเจ็บป่วยอื่น มีความผิดปกติ หรือมีอาการโรคใดๆ
 - หากคุณมีอาการภูมิแพ้อื่นๆ เช่น แพ้อาหาร แพ้สีย้อม แพ้สารกันบูด หรือแพ้สัตว์
 
กฎระเบียบสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมีความเข้มงวดน้อยกว่ายารักษาโรค คุณจึงควรศึกษาข้อมูลให้มากเพื่อความปลอดภัยในการใช้ และการบริโภคอาหารเสริมแคลเซียม ควรมีคุณประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ข้อควรระวังและคำเตือนพิเศษ
ผู้ใหญ่และเด็ก
- แคลเซียมนั้นถือว่าปลอดภัย หากรับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างเหมาะสมและถูกต้อง แคลเซียมอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก หากรับประทานมากเกินไป หลีกเลี่ยงแคลเซียมในปริมาณที่มากเกินไป สถาบันทางการแพทย์ได้กำหนดปริมาณสารอาหารสูงสุดที่สามารถบริโภคได้ในแต่ละวัน (UL) สำหรับแคลเซียม โดยยึดหลักของอายุดังนี้
 - อายุ 0-6 เดือน 1000 มก.
 - 6-12 เดือน 1500 มก.
 - 1-8 ปี 2500 มก.
 - 9-18 ปี 3000 มก.
 - 19-50 ปี 2500 มก.
 - 51+ ปี 2000 มก.
 
ควรพิจารณาปริมาณการบริโภคแคลเซียมทั้งหมด ทั้งจากอาหารและอาหารเสริม และพยายามอย่าบริโภคแคลเซียมเกิน 1000-1300 มก. ต่อวัน การคำนวณค่าแคลเซียมในอาหาร ให้นับ 300 มก./วัน จากอาหารที่ไม่ใช่นม บวกกับ 300 มก./นมหนึ่งแก้ว หรือน้ำส้มคั้นเสริมแคลเซียม
ข้อควรระวังเป็นพิเศษและคำเตือน
การตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- แคลเซียมนั้นจะปลอดภัยเมื่อรับประทานในปริมาณที่แนะนำขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตร ยังไม่มีข้อมูลมากพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของการฉีดแคลเซียมเข้าหลอดเลือดขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตร
 
ภาวะระดับของกรดในกระเพาะอาหารต่ำ หรือภาวะขาดกรดในกระเพาะ (Achlorhydria)
- คนที่มีระดับของกรดในกระเพาะต่ำจะดูดซึมแคลเซียมได้น้อยกว่า หากรับประทานแคลเซียมขณะท้องว่าง อย่างไรก็ตาม ระดับของกรดในกระเพาะที่ต่ำ ดูเหมือนจะไม่ได้ลดระดับของการดูดซึมแคลเซียมที่มาพร้อมกับอาหาร จึงแนะนำให้ผู้มีภาวะขาดกรดในกระเพาะรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมพร้อมกับอาหาร
 
ระดับของฟอสเฟตในเลือดสูง (hyperphosphatemia) หรือมีระดับของฟอสเฟตในเลือดต่ำ (hypophosphatemia)
- แคลเซียมและฟอสเฟตในร่างกายนั้นควรจะสมดุลกัน การรับประทานแคลเซียมมากเกินไป สามารถทำลายความสมดุลนี้ และทำให้เกิดอันตรายได้ อย่ารับประทานแคลเซียมเพิ่มเติมโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาดูแลสุขภาพ
 
ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ (hypothyroidism)
- แคลเซียมสามารถส่งผลกับการบำบัดภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนได้ (Thyroid hormone replacement treatment) ควรเว้นระยะห่างระหว่างการรับประทานแคลเซียมและยาฮอร์โมนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
 
การมีแคลเซียมในเลือดมากเกินไป
- เช่นในภาวะความผิดปกติของต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyroid gland disorders) และโรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis) ควรหลีกเลี่ยงแคลเซียมหากเป็นโรคใดโรคหนึ่งนี้
 
การทำงานของไตไม่ดี
- อาหารเสริมแคลเซียมอาจเพิ่มความเสี่ยง ในการทำให้มีแคลเซียมในเลือดมากเกินไป สำหรับผู้ที่มีภาวะไตทำงานไม่ดี
 
การสูบบุหรี่
- ผู้ที่สูบบุหรี่จะดูดซึมแคลเซียมในกระเพาะอาหารได้น้อยกว่าปกติ
 
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ แคลเซียม
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการใช้แคลเซียมได้แก่
- แคลเซียมสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยได้ เช่น เรอ หรือมีแก๊ส
 
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีผลข้างเคียงอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาต่อยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
แคลเซียมอาจทำปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ และอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง หรือสมุนไพร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณกำลังใช้ยาเหล่านี้
- เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) การฉีดยาเซฟไตรอะโซนและแคลเซียมเข้าเส้นเลือดดำ สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ปอดและไตอย่างรุนแรง ที่อาจเป็นอันตายถึงชีวิต ไม่ควรฉีดแคลเซียมเข้าเส้นเลือดภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากรับยาเซฟไตรอะโซน
 - ยาปฏิชีวนะ แคลเซียมอาจจะลดปริมาณการดูดซึมยาปฏิชีวนะของร่างกาย การใช้แคลเซียมคู่กับยาปฏิชีวนะบางชนิด อาจจะลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะนั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ควรรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมหลังจากรับยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
 - ยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตราไซคลีน แคลเซียมสามารถไปเกาะจับกับยาปฏิชีวนะบางชนิด ที่เรียกว่า เตตราไซคลีน (Tetracyclines) ในกระเพาะอาหาร ทำให้ลดปริมาณการดูดซึมยาเตตราไซคลีน การใช้แคลเซียมคู่กับยาเตตราไซคลีนอาจลดประสิทธิภาพของยาเตตราไซคลีนได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ควรรับประทานแคลเซียม 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมงหลังใช้ยาเตตราไซคลีน
 - ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตส์ (Bisphosphonates)แคลเซียมสามารถลดการดูดซึมยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตส์ได้ การใช้แคลเซียมคู่กับยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตส์ สามารถลดประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ใช้ยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์ อย่างน้อย 30 นาทีก่อนแคลเซียม หรือใช้หลังจากนั้น
 - ยากลุ่มคาลซิโพไทรอิน (Calcipotriene) ยาซิโพไทรอิน อย่างเช่น โดโวเนกซ์ (Dovonex) คือยาที่คล้ายกับวิตามินดี วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมคู่กับยาคาลซิโพไทรอิน อาจทำให้ได้รับแคเซียมมากเกินไป
 - ยากลุ่มไดจอกซิน (Digoxin) แคลเซียมสามารถส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณได้ ยาไดจอกซิน อย่างเช่น ลาโนซิน (Lanoxin) ใช้เพื่อช่วยให้หัวใจของคุณเต้นแรงขึ้น การใช้แคลเซียมคู่กับยาไดจอกซิน อาจเพิ่มประสิทธิภาพของยาไดจอกซินแล้วทำให้หัวใจเต้นผิดปกติได้ หากคุณกำลังใช้ยาไดจอกซินควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้อาหารเสริมแคลเซียม
 - ยากลุ่มดิลไทอะเซม (Diltiazem) แคลเซียมสามารถส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณได้ ยาดิลไทอะเซม อย่างคาร์ดิเซม (Cardizem) หรือดิลาคอร์ (Dilacor) หรือทิอาแซค (Tiazac) ก็ส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณได้เช่นกัน การรับประทานแคลเซียมจำนวนมาก คู่กับยาดิลไทอะเซม อาจลดประสิทธิภาพของยาดิลไทอะเซมได้
 - ยากลุ่มเลโวไทรอกซีน (Levothyroxine) ยาเลโวไทรอกซีนใช้เพื่อลดการทำงานของไทรอยด์ แคลเซียมสามารถลดการดูดซึมยาเลโวไทรอกซีนได้ การใช้แคลเซียมคู่กับเลโวไทรอกซีนอาจลดประสิทธิภาพของยาเลโวไทรอกซีน ควรรับประทานยาเลโวไทรอกซีนและแคลเซียมห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
 - ยากลุ่มโซทาลอล (Sotalol) การใช้แคลเซียลคู่กับยาโซทาลอล อย่างเช่น เบตาเพส (Betapace) สามารถลดการดูดซึมยาโซทาลอลได้ การใช้แคลเซียมคู่กับยาโซทาลอลอาจลดประสิทธิภาพของยาโซทาลอลได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ควรรับประทานแคลเซียลอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมง หลังใช้ยาโซทาลอล
 - ยาขับปัสสาวะ (Water pills) ยาขับปัสสาวะบางชนิดอาจจะเพิ่มปริมาณแคลเซียมในร่างกายได้ การรับระทานแคลเซียมจำนวนมากคู่กับยาขับปัสสาวะ อาจทำให้มีแคลเซียมในร่างกายมากเกินไป และอาจส่งผลข้างเคียงที่รุนแรง รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับไตอีกด้วย
 - เอสโตรเจน (Estrogens) เอสโตรเจนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ การรับประทานยาเอสโตรเจนคู่กับแคลเซียมในปริมาณมาก อาจเพิ่มปริมาณแคลเซียมในร่างกายมากเกินไป
 
ขนาดการใช้
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดการใช้แคลเซียม
ปริมาณในการใช้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพและปัจจัยอื่นๆ การใช้คาโมมายล์ในรูปแบบอาหารเสริมอาจไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอ จึงควรปรึกษาเรื่องปริมาณที่เหมาะสม และวิธีการใช้งานอย่างปลอดภัยจากแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ
รับประทาน
- เพื่อป้องกันระดับแคลเซียมต่ำ มักใช้ 1 กรัม ธาตุแคลเซียม ทุกวัน
 - สำหรับอาการแสบร้อนกลางอก ใช้แคลเซียมคาร์บอเนตเป็นยาลดกรด ปกติคือ 0.5-1.5กรัม ตามที่จำเป็น
 - เพื่อลดปริมาณฟอสเฟตในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ขนาดยาเริ่มต้นสำหรับแคลเซียมอะซิเตต คือ 1.334 กรัม (338 มก. ธาตุแคลเซียม) พร้อมกับอาหารในแต่ละครั้ง เพิ่มถึง 2-2.67 กรัม (500-680 มก. ธาตุแคลเซียม) พร้อมกับอาหารในแต่ละครั้ง ตามที่จำเป็น
 - เพื่อป้องกันกระดูกอ่อนแอ (โรคกระดูกพรุน) ขนาดยา 1-1.6 กรัม ธาตุแคลเซียม ทุกวัน รับจากอาหารและอาหารเสริม แนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนในอเมริกาเหนือ แนะนำให้ใช้แคลเซียม 1200 มก. ต่อวัน
 - สำหรับการป้องกันการสูญเสียกระดูก ในสตรีวัยก่อนหมดประจำเดือนที่มีอายุเกิน 40 ขนาดยา 1 กรัม
 - สำหรับผู้ตั้งครรภ์ที่บริโภคแคลเซียมในปริมาณที่ต่ำ ขนาดยาสำหรับการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก มีตั้งแต่ 300-1300 มก./วัน เริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ในสัปดาห์ที่ 20-22
 - สำหรับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน: 1-1.2 กรัม แคลเซียม ต่อวันเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต
 - เพื่อลดระดับฮอร์โมนไทรอยด์สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง: แคลเซียมคาร์บอเนต 2-21 กรัม
 - เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูกสำหรับผู้ที่ที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตอรอยด์: แบ่งยาวันละ 1 กรัม ธาตุแคลเซียมต่อวัน
 - เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง 1-1.5 กรัมแคลเซียม ต่อวัน
 - เพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (ก่อนคลอด) ใช้แคลเซียมคาร์บอเนต 1-2 กรัม ต่อวัน
 - เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และเนื้องอกลำไส้ใหญ่กำเริบ (adenomas): แคลเซียม 1200-1600 มก./วัน
 - สำหรับภาวะคอเลสเตอรอลสูง มีการใช้แคลเซียม 1200 มก. ต่อวัน รับประทานคู่หรือแยกต่างหากกับวิตามินดี 400 IU ต่อวัน ร่วมกับอาหารที่มีไขมันต่ำหรือจำกัดแคลอรี่
 - เพื่อป้องกันการเป็นพิษของฟลูออไรด์ในเด็ก แคลเซียม 125 มก. วันละสองครั้ง คู่กับกรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) และวิตามินดี
 - สำหรับการลดน้ำหนัก เพิ่มปริมาณการบริโภคแคลเซียมที่มาจากผลิตภัณฑ์นม ให้ได้ประมาณ 500-2400 มก./วัน คู่กับอาหารจำกัดแคลอรี่
 
ปริมาณการใช้แคลเซียมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพและปัจจัยอื่นๆ การใช้ยาสมุนไพรนั้นอาจไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอ จึงควรปรึกษานักสมุนไพรศาสตร์หรือแพทย์ในเรื่องปริมาณที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ขนาดยาที่ใช้ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพและเงื่อนไขอื่นๆ อาหารเสริมไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับขนาดที่เหมาะสม
รูปแบบของแคลเซียม
แคลเซียมอาจมีจำหน่ายในรูปแบบต่อไปนี้
- ยาแคปซูลแคลเซียม 600 มก.
 - แคลเซียมเหลว
 
[embed-health-tool-bmi]




















