แผลเป็น คืออาการที่ร่างกายเยียวยาตัวเองหลังเกิดอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้ว แผลเป็นอาจจางลงได้ แต่มักไม่หายสนิท อย่างไรก็ตาม วิธีลดเลือนรอยแผลเป็นที่ถูกต้อง อาจช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลงได้แบบไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
แผลเป็น คืออะไร
แผลเป็น (Scars) คือ รอยบนผิวหนังที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเยียวยาตัวเองของร่างกาย เวลาที่ผิวหนังบาดเจ็บ ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น เพื่อช่วยรักษาแผลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื้อเยื่อที่มีการสมานตัวแล้วนี้จะไม่มีส่วนประกอบของผิวตามปกติทั้งหมด รอยแผลเป็นจึงมักดูต่างจากผิวส่วนที่เหลือ
ลักษณะของแผลเป็นอาจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งรูปร่าง ขนาด และความลึกของแผล มักเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แผลเป็นมีลักษณะที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ปริมาณของเลือดที่สูบฉีดไปหล่อเลี้ยงในบริเวณนั้น สีผิว และความหนาของผิวก็ส่งผลต่อลักษณะของแผลได้เช่นกัน
แผลเป็นที่พบบ่อย เช่น
- แผลเป็นแบบปกติ (Normal fine-line scar) มักมีลักษณะบาง เล็ก และแบน ส่วนใหญ่เกิดจากการผ่าตัด บางครั้งอาจมีอาการคันด้วยประมาณ 2-3 เดือน แผลเป็นประเภทนี้อาจดูจางลงและเรียบเสมอผิวปกติได้ภายในเวลา 2 เดือน แต่รอยอาจไม่ได้หายสนิท
- แผลเป็นนูนเกิน (Hypertrophic scar) แผลเป็นนูนโต อาจมีสีแดง และมีอาการคันร่วมด้วย แต่รอยแผลจะไม่ขยายเกินขอบเขตรอยแผลเดิม แผลเป็นประเภทนี้อาจคงอยู่ประมาณ 6 เดือนก่อนจะค่อย ๆ นิ่มและจางลง
- แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid scar) แผลเป็นนูนโต อาจมีสีชมพู แดง สีเดียวกับผิว หรือสีเข้มกว่าผิวบริเวณใกล้เคียง รอยแผลมักขยายตัวเกินขอบเขตรอยแผลเดิม และมีอาการคันและเจ็บร่วมด้วย นอกจากนี้ อาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นขยับได้ยากขึ้น แผลเป็นคีลอยด์มักถ่ายทอดทางพันธุกรรม ฉะนั้น หากเป็นแผล และคนในครอบครัวมีประวัติเป็นแผลประเภทนี้ อาจปรึกษาคุณหมอเพื่อหาวิธีรักษาแผลที่เหมาะสมที่สุด
- แผลเป็นแบบหลุมหรือรอยบุ๋ม (Pitted or sunken scar) มักเกิดจากปัญหาผิว เช่น สิว อีสุกอีใส หรือเกิดจากการบาดเจ็บที่ทำให้สูญเสียชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นคลื่น เป็นเหลี่ยม กลม หรือรี เป็นต้น
วิธีลดรอยแผลเป็น
วิธีดังต่อไปนี้ อาจช่วยลดรอยแผลเป็น หรือทำให้รอยดูจางลงได้
- พยายามรักษาบาดแผลให้สะอาดอยู่เสมอ โดยล้างบริเวณที่เป็นแผลด้วยน้ำและสบู่ เพื่อกำจัดเชื้อโรคและสิ่งสกปรกออกไป
- บำรุงผิวบริเวณที่เป็นแผลด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อให้ผิวบริเวณนั้นความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ซึ่งอาจช่วยไม่ให้รอยแผลเป็นใหญ่หรือลึกขึ้น หรืออาจช่วยลดอาการคันได้
- อาจปิดพลาสเตอร์หรือใช้ผ้าพันแผลแบบที่มีเทปกาวปิดบริเวณรอยแผลไว้ หากบาดแผลมีขนาดใหญ่ รู้สึกเจ็บ มีรอยไหม้ หรือมีรอยแดงไม่ยอมหาย อาจปิดแผลด้วยแผ่นซิลิโคนเจลหรือแผ่นไฮโดรเจล
- เปลี่ยนพลาสเตอร์หรือผ้าพันแผลทุกวัน เพื่อช่วยให้แผลสะอาด หากผิวที่ไวต่อแถบกาวของพลาสเตอร์ปิดแผล หรือผิวแพ้ง่าย อาจใช้ผ้าก๊อซกับเทปปิดแผลแบบที่เป็นกระดาษ หรือหากใช้แผ่นซิลิโคนเจลหรือแผ่นไฮโดรเจลในการปิดแผล ควรปฎิบัติตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อย่างเคร่งครัด
- หากมีการเย็บแผลเอาไว้ ควรปฎิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการดูแลแผลในช่วงก่อนหรือหลังการตัดไหม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น
- ทาครีมกันแดดในบริเวณที่เป็นแผลหลังแผลแห้งแล้ว การปกป้องผิวจากแสงแดดอาจช่วยลดรอยแดงหรือรอยคล้ำลงได้ และช่วยทำให้แผลเป็นดูจางลงได้เร็วขึ้นด้วย ควรใช้ครีมกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีได้หลากหลายชนิด โดยมีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง
- ไม่ควรใช้ไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) บ่อยเกินไป เพราะถึงแม้จะมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ แต่ก็อาจทำให้ผิวระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้แผลหายได้ช้าลง นอกจากนี้
- ไม่ควรแกะสะเก็ดแผล เพราะสะเก็ดแผลคือกระบวนการป้องกันบาดแผลตามธรรมชาติ ฉะนั้น การแกะสะเก็ดแผลซ้ำ ๆ ในเวลาที่บาดแผลกำลังเยียวยาตัวเองจึงอาจทำให้แผลหายช้า และอาจทำให้แผลเป็นเห็นชัดขึ้นด้วย
[embed-health-tool-heart-rate]