สุขภาพตา

คุณรู้หรือเปล่าว่า ดวงตา คือหนึ่งในอวัยวะรับสัมผัส ที่พัฒนามากที่สุดในร่างกายของมนุษย์ เราจำเป็นต้องพึ่งการมองเห็นในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเป็นปกติ ดังนั้น การดูแลรักษา สุขภาพดวงตา ให้ดี จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เรียนรู้เกี่ยวกับ สุขภาพตา และการดูแลรักษาสุขภาพดวงตาของคุณ ได้ที่นี่

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพตา

ตาบอดสีรู้ได้อย่างไร ทดสอบตาบอดสี มีอะไรบ้าง

ตาบอดสี เป็นภาวะบกพร่องของประสาทสัมผัสการรับรู้สึก อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้มีการมองเห็นสีที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด แต่ก็อาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น การ ทดสอบตาบอดสี ทำได้ด้วยการทำแบบทดสอบแยกสีในแผ่นกระดาษ ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการใช้เครื่องมือแยกสี โดยส่วนใหญ่แล้ว อาการตาบอดสีไม่สามารถรักษาให้หายได้ ยกเว้นภาวะที่เกิดจากการใช้ยาหรือเกิดจากปัญหาของดวงตาที่เพิ่งมีขึ้นในภายหลัง คุณหมออาจวางแผนการรักษาให้การมองเห็นสีดีขึ้น [embed-health-tool-bmi] ตาบอดสี คืออะไร ภาวะตาบอดสี (Color Blindness) คือ ความผิดปกติของดวงตาในการตอบสนองต่อความยาวคลื่นแสงต่าง ๆ โดยทั่วไป แสงที่มีความยาวคลื่นของทุกสีจะเดินทางเข้าสู่ดวงตาทางกระจกตาผ่านทางเลนส์ตาและวุ้นตาเข้าไปยังเซลล์รูปกรวยในดวงตาที่อยู่บริเวณจุดรับภาพของจอประสาทตาหรือเรตินา (Retina) เซลล์รูปกรวยจะมีความไวต่อแสงความยาวคลื่นสั้น (สีน้ำเงิน) ปานกลาง (สีเขียว) หรือยาว (สีแดง) ที่ทำให้สามารถรับรู้สีได้ตามปกติ แต่หากเซลล์รูปกรวยขาดสารเคมีที่ไวต่อความยาวคลื่นอย่างน้อย 1 ชนิด ก็จะส่งผลให้การรับรู้สีแตกต่างไปจากคนทั่วไป ตาบอดสี เกิดจากอะไร ตาบอดสี เป็นความผิดปกติที่สืบทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นตาบอดสีมักจะมีโอกาสเป็นตาบอดสีได้มากกว่าคนทั่วไป และมักมีภาวะนี้ตั้งแต่กำเนิดและส่งผลต่อดวงตาทั้ง 2 ข้าง ตามปกติแล้วความรุนแรงจะไม่เพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นและพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สำหรับผู้ที่มีภาวะนี้ในภายหลังอาจเกิดได้เมื่อสมองหรือดวงตาได้รับความเสียหาย ซึ่งทำให้การมองเห็นสีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตาบอดสีมักทำให้สับสนในการแยกแยะสีในชีวิตประจำวันและมองเห็นสีบางสีที่ไม่สดใสเท่าผู้ที่มีสายตาปกติ คนส่วนใหญ่ที่ตาบอดสีไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสีแดงและสีเขียวบางเฉดได้ ในบางกรณีซึ่งพบได้ไม่บ่อย คนตาบอดสีจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเฉดสีฟ้าและสีเหลืองได้ ทั้งนี้ ผู้ที่ตาบอดสีไม่ได้มีความเสี่ยงในการสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอด ประเภทของตาบอดสี ตาบอดสี อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ ตาบอดสีแดง-เขียว เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยที่สุด โดยผู้ที่ตาบอดสีจะแยกความแตกต่างระหว่างสีแดงและสีเขียวได้ยากกว่าปกติ […]

หมวดหมู่ สุขภาพตา เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพตา

ปัญหาตาแบบอื่น

ตาสีม่วงตามธรรมชาติมีอยู่จริงหรือ

มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะพบคนตาสีม่วงตามธรรมชาติ แต่ลักษณะสีของดวงตาดังกล่าวนั้น มีอยู่จริง  ซึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะตาสีม่วงนั้นมีหลายประการด้วยกันส่วนใหญ่มักเป็นแต่กำเนิด หากใครเกิดภาวะตาสีม่วงฉับพลันหรือตาเพิ่งเปลี่ยนสีควรต้องรีบไปปรึกษาแพทย์ [embed-health-tool-heart-rate] ตำนานเรื่องของตาสีม่วงที่เคยปรากฎ เมื่อปีพ.ศ. 2548 ได้มีตำนานดังของบุคคลหนึ่งที่ชื่อว่า อเล็กซานเดรีย (Alexandria) ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ได้รับการค้นพบว่าดวงตานั้นเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงตั้งแต่ในช่วงวัยทารก อีกทั้งยังมีสีผิวซีด และร่างกายที่ไม่ได้สัดส่วน แต่กลับมีช่วงอายุในการใช้ชีวิตอย่างยาวนานกว่า 100 ปี มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบว่าอาจเป็นการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม ซึ่งพบได้น้อยมาก เพราะบุคคลส่วนใหญ่มักเกิดมาพร้อมกับดวงตาสีดำ สีน้ำตาล สีเทา สีฟ้า อีกทั้งดวงตาสีทั่วไปเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเซลล์สร้างเม็ดเลือด และเม็ดสีเมลานินจากทางพันธุกรรมของครอบครัว ตาสีม่วง เกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง นอกจากสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมแล้ว ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้สีของดวงตาเปลี่ยนได้ด้วย  ได้แก่ · โรคเฮเทอโรโครเมีย (Heterochromia) สำหรับผู้ที่ประสบกับโรคเฮเทอโรโครเมียจะสังเกตได้ว่าสีตาข้างใดข้างหนึ่งนั้นแตกต่างออกไปจากสีตาเดิม เช่น ตาข้างซ้ายสีฟ้า และตาข้างขวาสีน้ำตาล ซึ่งโรคนี้มักเป็นตั้งแต่กำเนิด และอาจพบไม่มากนักเช่นเดียวกับบุคคลตาสีม่วง · โรคต้อหินชนิดเม็ดสี เป็นกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับดวงตา ซึ่งเกิดจากความเสียหายของเส้นประสาทตาจนทำให้เม็ดสีในม่านตาหลุดออกมาเป็นบางส่วน จึงส่งผลให้สีตามีการเปลี่ยนสีไปบ้างเล็กน้อย หากยังปล่อยให้โรคต้อหินชนิดเม็ดสีดังกล่าวไว้เป็นเวลานานโดยไม่รับการรักษาก็อาจทำให้เกิดภาวะสูญเสียทางด้านการมองเห็นได้ · เนื้องอกในม่านตา อาการเนื้องอกในม่านตาส่วนใหญ่ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใด ๆ แต่สำหรับบางคนอาจสังเกตได้จากสีของดวงตาที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และจุดเม็ดสีที่มีชื่อเรียกว่า Nerve มีขนาดใหญ่ขึ้น หากสงสัยว่ามีอาการเนื้องอกในม่านตาควรรีบเข้ารับการรักษา โดยอาจเป็นการเลเซอร์ หรือการผ่าตัดร่วม ตามอาการของเนื้องอกของแต่ละบุคคล · ยารักษาบางประเภท ยาบางชนิดที่ใช้รักษาเกี่ยวกับปัญหาของดวงตา เช่น Prostaglandin analogs อาจมีผลทำให้ดวงตานั้นมีสีที่เปลี่ยนไป เนื่องจากเป็นยาที่ใช้รักษาต้อหิน และระบายของเหลว ลดความดันในดวงตา จึงอาจส่งผลข้างเคียงได้เล็กน้อยต่อสีของดวงตา เมื่อใดที่ควรไปปรึกษาแพทย์ หากสังเกตว่าสีของดวงตาปลี่ยนแปลงไปจากเดิมกะทันหัน […]


การดูแลสุขภาพตา

ทำความสะอาดดวงตา อย่างไรให้ปลอดภัยและถูกวิธี

ในบางครั้ง ดวงตา ของคนเราอาจเกิดการระคายเคืองจากสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ของการระคายเคืองเช่น ดวงตาแห้ง ดังนั้นการ ทำความสะอาดดวงตา จึงเป็นสิ่งที่สามารถจะช่วยทำให้ตาของคุณสะอาดและอาจช่วยลดความระคายเคืองที่เกิดขึ้นได้ และเพราะดวงตาถือเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อนและสำคัญ เราจะทำความสะอาดดวงตาอย่างไรให้สะอาดและปลอดภัยได้อย่างไร ลองมาติดตามได้ในบทความจาก Hello คุณหมอ ทำไมถึงต้อง ทำความสะอาดดวงตา โดยปกติแล้วขนคิ้ว ขนตา และน้ำตา เป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยที่ร่างกายออกแบบมา เพื่อปกป้องดวงตาของคุณจากการบาดเจ็บ แต่บางครั้งวัตถุหรือของเหลวต่างๆ ก็ยังสามารถเข้าไปในดวงตาของคุณได้ ทำให้ดวงตาเกิดอาการระคายเคือง จนต้องทำความสะอาดดวงตา ด้วยการล้างออกเท่านั้น นอกจากนั้น ถ้าดวงตารู้สึกระคายเคืองหรือแห้ง การล้างตาก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากการแพ้มลภาวะหรือควันที่อยู่ในอากาศ แต่ว่าดวงตาจะระคายเคืองจากสาเหตุใดก็ตาม ถ้าคุณต้องการที่จะทำความสะอาดดวงตา ก็จำเป็นจะต้องทำด้วยความระมัดระวังและปลอดภัยมากที่สุด วิธี ทำความสะอาดดวงตา สำหรับวิธีทำความสะอาดดวงตานั้นบางครั้งอาจจะต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่เข้าไปอยู่ในดวงตาด้วย หากของเหลวอย่างสารเคมี เช่น น้ำยาทำความสะอาดในครัวเรือนกระเด็นเข้าตา ขั้นตอนแรกที่ควรทำก็คือตรวจสอบฉลาก เพื่อดูคำแนะนำด้านความปลอดภัยและการใช้งาน โดยปกติคุณจะได้รับคำแนะนำให้ล้างตาด้วยน้ำอุ่น หากไม่มีน้ำอุ่น ควรล้างตาด้วยน้ำประมาณ 15 นาที แล้วรีบไปพบคุณหมอทันที แต่หากเป็นเศษทรายเข้าตา สิ่งสกปรก หรือสารขนาดเล็กอื่นๆ หรือขนตา คุณสามารถลองเอาออกได้โดยไม่ต้องล้างออก แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเสียว่ามือของคุณสะอาด และถ้าหากสิ่งที่เข้าตาไม่เจอก็อย่าพยายามเอานิ้วความหาสิ่งที่เข้าไปในดวงตา เพราะมันอาจทำให้ดวงตาระคายเคืองมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับวิธีทำความสะอาดดวงตาที่ถูกต้อง คุณสามารถเลือกทำได้ตามวิธีที่สามารถทำได้ ดังนี้ ล้างมือให้สะอาด ขั้นแรกคุณต้องแน่ใจเสียก่อนว่ามือของคุณสะอาด โดยล้างมือด้วยสบู่และน้ำอุ่น และอย่าลืมถอดคอนแทคเลนส์ก่อนที่จะเริ่มล้างตา ล้างตาด้วยน้ำอุ่นเป็นเวลา […]


โรคตา

เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก (Subconjunctival Hemorrhage)

อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก (Subconjunctival Hemorrhage) คืออาการที่บริเวณตาขาวมีจุดสีแดงๆ หรือมีสีแดง เกิดจากการที่เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก แล้วเยื่อบุลูกตาไม่สามารถซับเลือดออกไปได้ทันเวลา คำจำกัดความเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก คืออะไร อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก (Subconjunctival Hemorrhage) คือ อาการที่บริเวณตาขาวมีจุดสีแดงๆ หรือมีสีแดง เกิดจากการที่เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก แล้วเยื่อบุลูกตาไม่สามารถซับเลือดออกไปได้ทันเวลาจึงทำให้เลือดนั้นยังตกค้างจนมองเห็นเป็นจุดสีแดงที่บริเวณตาขาว  เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก พบได้บ่อยเพียงใด อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป และไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงจนต้องมีการดูแลเป็นพิเศษแต่อย่างใด อาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แม้เพียงการไอหรือจามก็สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกได้เช่นเดียวกัน โปรดปรึกษาแพทย์หากคุณต้องการข้อมูลและคำแนะนำเพิ่มเติม อาการอาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก มีอะไรบ้าง ปกติแล้วเรามักจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมี อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก เพราะอาการดังกล่าวไม่ได้มีผลในการสร้างความเจ็บปวดและไม่มีผลต่อการมองเห็นด้วย แต่เราจะสามารถสังเกตได้เมื่อส่องกระจก หรือผู้อื่นบอกให้รู้ ซึ่งอาการของเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก มีดังต่อไปนี้ มีจุดสีแดงสดเกิดขึ้นที่บริเวณตาขาว อาจรู้สึกได้ว่ามีรอยขีดข่วนที่ดวงตา อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับภายในเวลา 24-48 ชั่วโมง จุดสีแดงบริเวณตาขาวจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงสดเป็นสีเหลืองจนกระทั่งจุดสีแดงหายไป อย่างไรก็ตาม อาจมีบางอาการที่ไม่ได้ระบุข้างต้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการของคุณ โปรดปรึกษาแพทย์ เมื่อไหร่ควรไปพบหมอ หากภายใน 2-3 สัปดาห์ อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกยังคงอยู่ หรือยังคงมีจุดสีแดงที่ดวงตา หรือมีอาการเจ็บปวดที่ดวงตา หากคุณมีอาการหรือพบสัญญาณของอาการข้างต้น หรือมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์ เพราะร่างกายของแต่ละคนแสดงอาการต่างกัน โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสมกับคุณต่อไป สาเหตุสาเหตุของอาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนี้ การไอและการจามอย่างรุนแรง อาการเมื่อยล้า การอาเจียน การถูดวงตาอย่างรุนแรง ฝุ่นละอองต่างๆ เข้าตา คอนแทคเลนส์ การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย การทำศัลยกรรม อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก อาจเกิดจากอาการทางสุขภาพต่างๆ ได้เหมือนกันแต่มักจะไม่ใช่สาเหตุหลัก หรือเกิดขึ้นได้แต่น้อย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การรับประทานยารักษาโรคที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดการตกเลือด ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก เพศ เพศชายมีแนวโน้มที่จะเกิด อาการเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก […]


ปัญหาตาแบบอื่น

วิธีป้องกันอาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล (Digital Eye Strain) ที่คนยุคดิจิทัลอย่างเราๆ ควรรู้

ปัญหาหนึ่งของผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานหรือตลอดทั้งวัน นั่นก็คืออาจส่งผลให้เกิด  อาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล แต่อาการตาล้าประเภทนี้เป็นอย่างไร และจะมี วิธีป้องกันอาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล ได้อย่างไรบ้าง มาติดตามเคล็ดลับสุขภาพดีๆ กันได้ กับบทความนี้จาก Hello คุณหมอ อาการตาล้าโดยทั่วไปกับอาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล แตกต่างกันอย่างไร อาการตาล้า และ อาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล นั้น มีความเหมือนกันในเรื่องของลักษณะอาการ ทั้งความรู้สึกเมื่อยล้าที่ดวงตา มองเห็นภาพเบลอหรือภาพซ้อน มีอาการตาแห้ง ไปจนถึงอาการปวดศีรษะ เป็นต้น แต่จะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตรงที่สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาล้านั้นเกิดจากปัจจัยที่แตกต่างกัน อาการตาล้าโดยทั่วไป สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์และสื่อดิจิทัลเป็นเวลานานๆ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการตาล้า และ อาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล การอ่านหนังสือโดยที่ไม่มีการหยุดพักสายตา การเพ่งใช้สายตากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป การขับรถในระยะทางที่ไกลและมีระยะเวลาที่ยาวนาน เนื่องจากต้องเพ่งสายตาไปที่ข้างหน้าตลอดการขับรถ ดวงตาสัมผัสกับแสงสว่างที่มากจนเกินไป การอ่านหนังสือ หรือมองจอคอมพิวเตอร์และสื่อดิจิทัลในที่มืดหรือที่มีแสงสว่างน้อย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพดวงตาอยู่แต่เดิมแล้ว เช่น ปัญหาตาแห้ง การที่ดวงตาสัมผัสกับลักษณะอากาศแห้ง ทั้งที่มาจากพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ เกิดความเครียด เกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อยล้า แต่สำหรับ อาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล (Digital Eye Strain) นั้น มีสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ การใช้สายตาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์และสื่อดิจิทัลเช่น สมาร์ทโฟน มากจนเกินไป หรือใช้สายตาอยู่ที่หน้าจอของอุปกรณ์ดิจิทัลเหล่านั้นเป็นระยะเวลานานๆ หรือทั้งวันโดยที่ไม่ได้หยุดพักการใช้สายตา วิธีป้องกันอาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล มีอะไรบ้าง สวมแว่นตาที่มีคุณสมบัติป้องกันแสง ไม่ว่าคุณจะสวมใส่แว่นตามานานเท่าไหร่แล้ว หรือไม่เคยต้องสวมแว่นตาเลยเนื่องจากไม่มีปัญหาด้านสุขภาพดวงตา อย่างไรก็ตาม หากต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือใช้สื่อดิจิทัลเป็นประจำหรือทั้งวัน ควรพิจารณาการสวมแว่นที่มีคุณสมบัติช่วยในการกรองแสง เพื่อลดการสะท้อนของแสงจากหน้าจอของอุปกรณ์ดิจิทัล ก็จะช่วยป้องกัน อาการตาล้าจากสื่อดิจิทัล ไม่ให้ดวงตารู้สึกเมื่อยล้า […]


ต้อกระจก

สัญญาณเตือนของดวงตา ที่เป็นสัญญาณของการเกิด โรคต้อกระจก

ดวงตา เป็นอวัยวะที่สำคัญเป็นอย่างมากในชีวิตคนเรา และถึงแม้ว่าคุณไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพตา แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างในการใช้ชีวิต เช่น การใช้สายตาในชีวิตประจำวัน หรืออายุที่มากขึ้น อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น การเป็นโรคตาอย่าง ต้อกระจก (Cataracts) ซึ่งเป็นโรคตาที่หลายคนต่างเป็นกังวล ตามหลักแล้วก่อนการเกิดโรคต้อกระจก มักจะมี สัญญาณเตือนของดวงตา ที่อาจสื่อถึงอาการหรือการเกิดต้อกระจกได้ แล้วสัญญาณเหล่านั้นจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดบ้าง ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝาก ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก ในชีวิตประจำวัน เมื่อคุณต้องใช้สายตาในการอ่านหนังสือ ทำงาน หรือแม้แต่การมองธรรมชาติในทุก ๆ วัน และด้วยอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้โปรตีนภายในดวงตารวมตัวกันแล้วเปลี่ยนเลนส์กระจกตาจากที่ใสๆ ให้เป็นขุ่นได้ นอกจากนั้นแล้วยังมีพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ดังนี้ ไม่ป้องกันดวงตาจากแสงอาทิตย์ สูบบุหรี่ น้ำตาลในเลือดสูง ใช้ยาสเตียรอยด์ การสัมผัสรังสี ปัจจัยเหล่านี้สามารถทำให้เกิดต้อกระจกได้ นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีสัญญาณอื่นๆ ที่อาจจะสื่อถึงการเกิด โรคต้อกระจก โดยสัญญาณต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา มีดังต่อไปนี้ สัญญาณเตือนของดวงตา ที่อาจบ่งบอกว่าคุณอาจเป็น โรคต้อกระจก วิสัยทัศน์ในการมองเห็นเลือนลางหรือพร่ามัว ต้อกระจกจะเริ่มจากจุดเล็กๆ ซึ่งยังอาจมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการมองเห็น สิ่งต่างๆ อาจดูพร่ามัวหรือเลือนลางเพียงนิดหน่อย บางครั้งวิสัยทัศน์ที่คุณมองเห็นอาจจะดูเหมือนภาพวาดอิมเพรสชันนิสต์ (Impressionist Painting) หรือภาพวาดจากสีน้ำนั่นเอง เมื่อเวลาผ่านไปผลกระทบนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โลกของคุณอาจจะดูพร่ามัวหรือสลัวมากขึ้น นอกจากนั้นการอ่านหนังสือพิมพ์ หรือการอ่านฉลากยาที่มีตัวหนังสือเล็ก ๆ จะยากขึ้น […]


ปัญหาตาแบบอื่น

ดูแลดวงตาให้แข็งแรง ด้วยวิธีแสนง่ายที่คุณเองก็ทำตามได้

ดวงตา ถือเป็นอวัยะที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น การ ดูแลดวงตาให้แข็งแรง จึงถือเป็นเรื่องที่ควรทำ โดยพื้นฐานในการดูแลดวงตาก็คือการกินอาหารที่มีประโยชน์ ใช้สายตาในบริเวณที่มีแสงที่เพียงพอ แต่ความจริงแล้วยังมีการดูแลดวงตาอื่นๆ ที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ ซึ่งทาง Hello คุณหมอ ได้หยิบยกเรื่องนี้มาฝากกัน วิธี ดูแลดวงตาให้แข็งแรง ด้วยวิธีแสนง่าย สำหรับวิธี ดูแลดวงตาให้แข็งแรง นั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ รับวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญให้เพียงพอ วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี รวมถึงแร่สังกะสี มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของแมคูลา (Macula) ซึ่งเป็นจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตา โดยแหล่งอาหารที่สำคัญที่มีสารอาหารเหล่านี้ประกอบอยู่ ก็ได้แก่ผักและผลไม้หลากหลายชนิด เช่น แครอท พริกแดง บร็อคโคลี่ ผักโขม สตรอว์เบอร์รี่ มันเทศ มะนาว นอกจากนั้น อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน และเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) ก็ยังทำให้สุขภาพตาดีขึ้นด้วย อย่าลืมกินแคโรทีนอยด์ นอกจากสารอาหารต่างๆ ที่จะช่วยบำรุงสุขภาพของดวงตาแล้ว กุญแจสำคัญที่ช่วยในการปรับปรุงการมองเห็น ก็คือ ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ที่พบในเรตินา และสารดังกล่าวสามารถพบได้ในผักใบเขียว บร็อคโคลี่ บวบ และไข่ นอกจากนั้นยังสามารถหากินได้ในรูปแบบอาหารเสริมอีกด้วย แคโรทีนอยด์เหล่านี้ช่วยปกป้องแมคูลา (Macula) ซึ่งเป็นจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตา ด้วยการปรับปรุงความหนาแน่นเม็ดสีในส่วนของดวงตา และดูดซับแสงอัลตร้าไวโอเลตและแสงสีน้ำเงิน ออกกำลังกาย การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยรักษาน้ำหนัก และทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังสามารถช่วยทำให้ดวงตาแข็งแรงด้วย […]


ปัญหาตาแบบอื่น

เรื่องน่ารู้ ก่อนการเลือก ใช้คอนแทคเลนส์ เพื่อสุขภาพของดวงตาที่ดีกว่า

ในปัจจุบันนี้ การใช้คอนแทคเลนส์ นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นทางเลือกเพื่อความสะดวกสบายของผู้ที่มีปัญหาด้านสายตาแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อความสวยความงามได้อีกด้วย แต่การใช้คอนแทคเลนส์อย่างไม่ถูกต้องนั้น อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของดวงตาได้ วันนี้ Hello คุณหมอ จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับ การใช้คอนแทคเลนส์ อย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพของดวงตาที่ดียิ่งขึ้น ประโยชน์ของ การใช้คอนแทคเลนส์ ช่วยเรื่องการมองเห็น คนส่วนใหญ่จะสวมคอนแทคเลนส์เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการมองเห็น คอนแทคเลนส์นั้นสามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง โดยสามารถใช้แทนแว่นตาได้เลย รู้สึกเป็นธรรมชาติ คอนแทคเลนส์นั้นจะสวมแนบสนิทไปกับดวงตาของเรา แทบจะไม่มีระยะห่างระหว่างดวงตากับเลนส์ จึงทำให้การมองเห็นเป็นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าการมองผ่านแว่นตา นอกจากนี้คอนแทคเลนส์ก็มีความบาง และคนส่วนใหญ่ที่ชินกับการใส่คอนแทคเลนส์ก็จะไม่รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรอยู่ในดวงตาของเรา สะดวกสบาย การสวมคอนแทคเลนส์นั้นให้ความสะดวกสบายกว่ามาก เมื่อเทียบกับการสวมแว่นตา เพราะการสวมแว่นตาอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น แว่นหลวมไม่พอดีหน้า แว่นเลื่อนหลุด เล่นกีฬาไม่สะดวก หรือแว่นเปื้อนหรือเกิดฝ้า ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากเราสวมคอนแทคเลนส์ สวยงาม นอกจากคอนแทคเลนส์จะช่วยแก้ปัญหาสายตา และเพิ่มความสะดวกสบายแล้ว คอนแทคเลนส์นั้นยังสามารถช่วยในเรื่องของความสวยงามได้อีกด้วย เพราะการเลือกแว่นให้เข้ากับใบหน้าของเรานั้นเป็นเรื่องยาก และใช่ว่าใบหน้าของทุกคนจะเหมาะกับการใส่แว่น นอกจากนี้ยังมีคอนแทคเลนส์แบบสี ที่มีสีสันและลวดลายต่าง ๆ ที่เพิ่มความสวยงามให้กับผู้ใส่ได้อีกมาก การใช้คอนแทคเลนส์ มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง แม้ว่าคอนแทคเลนส์นั้นจะมีประโยชน์อยู่มาก แต่การใช้คอนแทคเลนส์ก็สามารถนำมาซึ่งความเสี่ยงได้เช่นกัน เนื่องจากดวงตานั้นเป็นจุดที่เปราะบาง ทำให้อาจเกิดความเสียหาย หรือติดเชื้อได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น การใช้คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุแล้ว หรือไม่พอดีกับดวงตา อาจทำให้เยื่อบุตาเกิดรอยถลอก จนกลายเป็นอาการเยื่อบุตาอักเสบ หรือที่เราเรียกกันว่าอาการตาแดงได้ นอกจากนี้การใช้ยาหยอดตาก็อาจส่งผลกระทบกับการใส่คอนแทคเลนส์ได้ เพราะยาหลอดยาส่วนใหญ่มักจะมีสารกันบูด ที่อาจซึมเข้าไปในคอนแทคเลนส์ได้ หากใช้ยาหยอดตาขณะสวมคอนแทคเลนส์ หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบถอดคอนแทคเลนส์ออก แล้วติดต่อแพทย์ในทันที ตาแดง ปวดตา ตาแพ้แสง น้ำตาไหลไม่หยุด มองเห็นไม่ชัด มีหนองในบริเวณดวงตา ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา เช่น […]


การดูแลสุขภาพตา

บำรุงดวงตาด้วยถุงชา ดื่มชาชื่นใจแล้วยังได้สุขภาพดวงตาที่ดีอีกด้วยนะ

คุณเป็นคนที่ชอบดื่มชาหรือเปล่า? ถ้าคุณชอบดื่มชา คุณอาจได้ประโยชน์ที่มากกว่าการดื่มชา เพราะหลังจากที่ดื่มชาไปแล้ว คุณยังจะได้ประโยชน์จากถุงชาด้วยนะ เพราะ ถุงชา นั้นยังสามารถที่จะนำมาบำรุงรอบดวงตาเพื่อลดอาการบวมของดวงตาได้ด้วย แต่เราสามารถ บำรุงดวงตาด้วยถุงชา ได้อย่างไร มาติดตามกันได้ที่บทความนี้เลย จาก Hello คุณหมอ ถุงชาบำรุงดวงตาได้อย่างไร ชาในที่อยู่ใน ถุงชา เป็นวัตถุดิบสำคัญเพื่อการบำรุงดวงตาของเราในวันนี้ โดยชาในถุงชานั้นอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่างคาเฟอีนที่มีส่วนช่วยทำให้หลอดเลือดในดวงตาเกิดการหดตัวลง จึงช่วยลดอาการบวมของดวงตาได้ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาทุกประเภท เนื่องจากมีการค้นพบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนมูลอิสระกับผิวหนัง พบว่ามีประโยชน์ช่วยในการป้องกันและลดการอักเสบของผิวหนังได้ เลือกถุงชาแบบไหนดี ชาทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะนำมาดื่ม หรือนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ เนื่องจากในใบชานั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงยังประโยชน์ที่ดีต่อดวงตา ซึ่งสามารถใช้ลดอาการบวมและลดรอยแดงของดวงตาได้ แต่หากต้องการเลือกชาที่ตรงใจ ก็สามารถที่จะเลือกชาได้ ดังต่อไปนี้ ชาเขียวและชาดำ ทั้งชาดำและชาเขียวมีสารประกอบของคาเฟอีนและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันอาการอักเสบ จึงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ทั้งภายในร่างกายและผิวหนัง  ชาดอกคาโมมายล์ ในชาดอกคาโมมายล์อุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านความอักเสบ ทั้งภายในร่างกายและผิวหนัง จึงสามารถนำมาเป็นส่วนประกอบเพื่อใช้ในการบำรุงผิวและรอบดวงตาได้ ชาลาเวนเดอร์ ชาดอกลาเวนเดอร์ เป็นชาที่ขึ้นชื่อในเรื่องการบรรเทาความเครียด และบรรเทาความวิตกกังวล การชะโลมน้ำมันหอมระเหยจากดอกลาเวนเดอร์ หรือการวาง ถุงชา ดอกลาเวนเดอร์ไว้ที่ดวงตา มีสรรพคุณช่วยลดความเครียดและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ ชาดอกดาวเรือง ชาดอกดาวเรืองมีสรรพคุณที่ดีต่อผิวพรรณ การใช้ถุงชาดอกดาวเรืองวางไว้ที่ดวงตาจะช่วยลดอาการบวมของดวงตาได้ วิธี บำรุงดวงตาด้วยถุงชา หากรู้สึกว่าดวงตาเกิดอาการบวม หรือมีรอยแดง อาจใช้วิธีง่ายๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อช่วยในการลดอาการบวมหรือลดรอยแดงที่ดวงตา ดังนี้ นำ ถุงชา ไปแช่ในน้ำร้อน เมื่อเริ่มได้ที่จึงนำถุงชาขึ้น บีบน้ำออกจากถุงชาให้หมด หากต้องการประคบอุ่น รอจนถุงชาอุ่นขึ้นสักนิดหนึ่ง หากต้องการประคบเย็น ให้นำไปแช่เย็นในตู้เย็น จากนั้นหลับตาแล้ววางถุงชาไว้ที่บริเวณดวงตาประมาณ […]


ความบกพร่องทางการมองเห็นและตาบอด

สายตาเอียง สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

สายตาเอียง เป็นปัญหาสายตาที่พบได้บ่อย เกิดจากกระจกตา (แก้วตา) หรือเลนส์ตามีรูปร่างผิดปกติ เช่น ไม่โค้งกลม ทำให้เกิดจุดหักเหแสงมากกว่าหนึ่งจุด จึงส่งผลให้มองเห็นไม่ชัด หรือตาพร่ามัว เห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นภาพเบลอ จนอาจต้องเพ่งตลอดจนปวดตา หรือปวดศีรษะ เป็นต้น คำจำกัดความสายตาเอียง คืออะไร ภาวะสายตาเอียง (Astigmatism) เป็นปัญหาสายตาที่มักเกิดจากกระจกตา หรือที่เรียกว่า แก้วตา (Cornea) มีรูปร่างผิดปกติ หรือบางครั้งอาจเกิดจากความโค้งของเลนส์ตาผิดปกติ เช่น โค้งไม่เท่ากัน ในภาวะที่สายตาปกติ เมื่อมองวัตถุ แสงที่กระทบและหักเหผ่านเลนส์ตาจะมาตกกระทบที่จุดศูนย์กลางของจอประสาทตา หรือจอตา (Retina) พอดี ทำให้มองเห็นภาพที่คมชัด แต่หากรูปร่างของกระจกตาหรือเลนส์ตาผิดปกติ แสงจะไม่ตกกระทบที่จอประสาทตาพอดี หรือตกกระทบสองจุด ส่งผลให้สายตาเอียง คือ ตาเบลอ มองใกล้หรือมองไกลก็ไม่ชัด และยังอาจทำให้รู้สึกปวดตาหรือปวดศีรษะได้ด้วย ผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียงมักจะมีปัญหาสายตาสั้น (Myopia) หรือสายตายาว (Hyperopia) ร่วมด้วย ซึ่งทั้ง 3 อาการนี้ เรียกว่าโรคสายตา หรือภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive Errors) ซึ่งล้วนแต่เกิดจากหักเหของแสงที่ผิดปกติทั้งสิ้น โดยสายตาสั้นเกิดจากแสงตกกระทบก่อนถึงจอประสาทตา สายตายาวเกิดจากแสงตกกระทบเลยจอประสาทตาไป สายตาเอียง พบได้บ่อยเพียงใด สายตาเอียงพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย […]


ความบกพร่องทางการมองเห็นและตาบอด

ตาบอดฉับพลัน สาเหตุที่ อยู่ๆ ก็ทำให้ มองไม่เห็น

ตาบอดฉับพลัน (Sudden Blindness) เป็นอาการสูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน ที่มักเกิดขึ้นที่ตาข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ซึ่งการสูญเสียการมองเห็นที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรง อย่าง โรคหลอดเลือดสมองก็เป็นได้ วันนี้ Hello คุณหมอ มีบทความเกี่ยวตาบอดฉับพลันมาให้อ่านกันค่ะ [embed-health-tool-bmr] ตาบอดฉับพลัน หรือการสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว 1 ปี คืออะไร การสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในตาข้างเดียว แต่ในบางกรณีก็สามารถเกิดขึ้นได้ในตาทั้ง 2 ข้าง โดยปกติแล้วอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นมาจาก การที่เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงดวงตาไม่เพียงพอ จึงอาจทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นตั้งแต่ระดับวินาทีไปจนถึงระดับนาที โดยทั่วไปแล้วมักมีอาการเหล่านี้ ตามืดชั่วขณะ สูญเสียการมองเห็นชั่วคราว ตาบอดเป็นระยะ (episodic blindness) การสูญเสียการมองเห็นของตาข้างเดียวชั่วคราว ตาบอดข้างเดียวชั่วคราว สาเหตุของอาการ ตาบอดฉับพลัน สาเหตุที่พบบ่อยได้บ่อยในอาการตาบอดในตาข้างเดียว คือ การไหลเวียนของเลือดลดลง ทำให้เส้นเลือดแดงคาโรติด (Carotid Artery) ที่อยู่บริเวณคอ ทำให้ไม่สามารถลำเลียงเลือดที่หัวใจไปเลี้ยงที่ดวงตาและสมองได้ บางครั้งไขมันสะสม จนเกาะอยู่เต็มผนังหลอดเลือดก็จะขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดผ่านเข้าออกได้ยากขึ้น ซึ่งการตีบตันหรืออุดตันของหลอดเลือดที่นำเลือดไปยังตา ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดตาบอดชั่วคราว นอกจากนี้ลิ่มเลือด (Blood clot) อาจทำให้เกิดการอุดตันการไหลเวียนของเลือด ลิ่มเลือด คือ ก้อนเลือดคล้ายเจลที่จับตัวเป็นก้อนจากของเหลว กลายเป็นสถานะกึ่งของแข็ง หากลิ่มเลือด เกิดการอุดตันหลอดเลือดแดงที่จอประสาทตา ก็จะเรียกว่าการอุดตันหลอดเลือดจอประสาทตาย่อยหรือการอุดตันหลอดเลือดแดงจอประสาทตากลาง นอกจากปัญหาการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงดวงตา […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน