ถุงยางอนามัยทำมาจากน้ำยางสังเคราะห์หรือโพลียูรีเทน (Polyurethane) ที่มีความยืดหยุ่น สามารถขยายได้ตามขนาดของอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาเกี่ยวกับวิธีการเลือก ไซส์ถุงยาง ที่เหมาะสม รวมถึงวิธีการใส่ถุงยางอย่างถูกต้อง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
[embed-health-tool-ovulation]
ความสำคัญของการเลือกไซส์ถุงยางให้ถูกต้อง
การเลือกไซส์ถุงยางอนามัยให้ถูกต้องเหมาะสมกับขนาดของอวัยวะเพศช่วยให้ถุงยางอนามัยมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ โรคเริม โรคซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม หูดหงอนไก่ อีกทั้งยังป้องกันการบีบรัดหรือหลวมเกินไป ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เจ็บอวัยวะเพศ ขัดขวางการมีเพศสัมพันธ์ อารมณ์ทางเพศลดลง ถุงยางแตกหรือถุงยางหลุดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอาจนำไปสู่การตั้งครรภ์ได้
ไซส์ถุงยาง มีกี่ไซส์
ไซส์ถุงยางของผู้ชายและผู้หญิงอาจมีขนาดแตกต่างกัน ดังนี้
ไซส์ถุงยางผู้ชาย
การเลือกไซส์ถุงยางผู้ชายให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาดของอวัยวะเพศในขณะที่แข็งตัว โดยควรวัดขนาดของอวัยวะเพศในขณะแข็งตัวด้วยการใช้สายวัดพันรอบอวัยวะเพศชายบริเวณที่มีความอวบมากที่สุด โดยพันให้พอดีไม่รัดแน่นจนเกินไป เมื่อได้ค่าเส้นรอบวงที่เป็นหน่วยมิลลิเมตรแล้ว ให้นำผลลัพธ์มาหาร 2.3
ยกตัวอย่าง ขนาดเส้นรอบวงอยู่ที่ 120 มิลลิเมตร ให้นำมาหาร 2.3 (120÷2.3) ก็จะได้ 52 เท่ากับขนาดของอวัยวะเพศชายจะอยู่ที่ 52 มิลลิเมตร หรือนำมาเทียบกับผลลัพธ์ดังต่อไปนี้
- ความยาวเส้นรอบวง 111-115 มิลลิเมตร ควรเลือกถุงยางอนามัยไซส์ 49-50 มิลลิเมตร
- ความยาวเส้นรอบวง 116-120 มิลลิเมตร ควรเลือกถุงยางอนามัยไซส์ 50-53 มิลลิเมตร
- ความยาวเส้นรอบวง 121-125 มิลลิเมตร ควรเลือกถุงยางอนามัยไซส์ 52-55 มิลลิเมตร
- ความยาวเส้นรอบวง 126-130 มิลลิเมตร ควรเลือกถุงยางอนามัยไซส์ 54-57 มิลลิเมตร
- ความยาวเส้นรอบวง 136-140 มิลลิเมตร ควรเลือกถุงยางอนามัยไซส์ 58-60 มิลลิเมตร
- ความยาวเส้นรอบวง 141-150 มิลลิเมตร ควรเลือกถุงยางอนามัยไซส์ 60-64 มิลลิเมตร
- ความยาวเส้นรอบวง 150 มิลลิเมตร ขึ้นไป ควรเลือกถุงยางอนามัยไซส์ 69 มิลลิเมตร
ไซส์ถุงยางผู้หญิง
ไซส์ถุงยางผู้หญิงอาจมีเพียงไซส์เดียวที่มีความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 7.8 เซนติเมตร ยาว 15-17 เซนติเมตร ซึ่งสาเหตุที่ไซส์ถุงยางอนามัยของผู้หญิงมีน้อยกว่าผู้ชายอาจเป็นเพราะวิธีการใส่ที่แตกต่างกันโดยของผู้หญิงนั้นจะถูกใส่เข้าไปด้านในช่องคลอด จึงทำให้มีการผลิตลักษณะของถุงยางที่แตกต่างจากผู้ชาย โดยคำนึงถึงขนาดของปากช่องคลอดเพื่อผลิตวงแหวนของถุงยางให้มีขนาดใหญ่แต่ยังมีความยืดหยุ่นเพื่อรั้งบริเวณปากช่องคลอดไว้ให้ไม่ถุงยางอนามัยหลุดเข้าไปขณะมีเพศสัมพันธ์รวมถึงคำนวณความยาวเพื่อให้ขนาดของอวัยวะเพศชายใส่เข้าไปพอดีป้องกันการการกระแทก การเจาะและการขาดของถุงยาง
วิธีการใส่ถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยของผู้ชายและผู้หญิงมีวิธีการใส่ดังต่อไปนี้
การใส่ถุงยางอนามัยผู้ชาย
- ฉีกหรือตัดซองถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการตัดโดนถุงยางที่ทำให้เกิดการฉีดขาด
- สวมถุงยางอนามัยในขณะที่องคชาตแข็งตัว โดยบีบส่วนปลายเพื่อไล่อากาศออกจากถุงยางอนามัยและค่อย ๆ คลี่ด้านวงแหวนรูดลงให้ครอบองคชาตไปจนสุดของฐานองคชาต แต่ยังควรเหลือส่วนปลายให้มีพื้นที่ว่างไว้เล็กน้อย เพื่อเก็บน้ำอสุจิที่จะหลั่งออกมา
- หลังมีเพศสัมพันธ์และมีการหลั่งเสร็จสิ้น ควรจับที่ฐานถุงยางอนามัยก่อนนำออกจากช่องคลอด เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยหลุด เนื่องจากอวัยวะเพศอาจมีขนาดลดลงและทำให้หลวม จากนั้นนำมาห่อทิ้งด้วยกระดาษทิชชูก่อนทิ้งลงถังขยะ
การใส่ถุงยางอนามัยผู้หญิง
ถุงยางอนามัยผู้หญิงจะมีลักษณะเป็นวงแหวน 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นแบบเปิดเพื่อให้อวัยวะเพศชายสามารถสอดเข้าได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นแบบปิดที่จะสอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิของผู้ชายเข้าไปผสมกับไข่จนทำให้เกิดการตั้งครรภ์ โดยสามารถใส่ตามวิธีดังต่อไปนี้
- ฉีกหรือตัดซองถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันถุงยางฉีดขาด
- ตรวจสอบถุงยางอนามัยว่าด้านใดเป็นด้านปิดและด้านเปิด
- จากนั้นใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งบีบวงแหวนของถุงยางด้านปลายปิดให้มีขนาดพอดีที่จะสอดเข้าไปในช่องคลอด
- สอดถุงยางด้านเข้าไปในช่องคลอด แล้วใช้นิ้วมือสอดด้านปลายเปิด เพื่อดันให้ถุงยางเข้าไปด้านในจนติดกับปากมดลูกและตรวจสอบหลังจากใส่ว่าถุงยางอนามัยไม่บิดงอ วงแหวนด้านนอกอยู่แนบติดกับปากช่องคลอดภายนอก
- หลังจากมีเพศสัมพันธ์ให้ถอดถุงยางผู้หญิงควรบิดวงแหวนด้านนอกเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงถุงยางออกจากช่องคลอด จากนั้นห่อทิ้งในถังขยะและล้างมือให้สะอาด