อาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอก เกิดจากหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงการใส่เสื้อผ้าอับชื้นเป็นเวลานาน นอกเหนือจากอาการคัน อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น แสบขัดขณะปัสสาวะ ลักษณะตกขาวผิดปกติ ทั้งนี้ หากมีอาการคันนานเกิน 2-3 วันขึ้นไป และกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและดำเนินการรักษาอย่างถูกวิธี
[embed-health-tool-ovulation]
คันอวัยวะเพศหญิง ภายนอก เกิดจากอะไร
อาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอก อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้
การติดเชื้อ
- การติดเชื้อราแคนดิดา (Candida Albicans) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ส่งผลให้เกิดอาการคัน แสบร้อน และอาจมีตกขาวผิดปกติ
- ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้เกิดอาการตกขาวขุ่น มีฟอง มีกลิ่นคาว รวมถึงคันอวัยวะเพศ
- พยาธิเข็มหมุด สามารถติดเชื้อได้จากการรับประทานอาหารและการหายใจ เมื่อพยาธิเข้าสู่ร่างกายมักอาศัยอยู่ในช่องคลอดหรือทวารหนัก ส่งผลให้เกิดอาการคันอวัยวะเพศหญิงอย่างรุนแรงจนอาจปลุกให้ตื่นจากการนอนหลับที่สนิทได้ รวมถึงอาจมีอาการปวดท้อง เบื่ออาหาร
- หูดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human papillomavirus (HPV) ทำให้เกิดตุ่มหรือติ่งเนื้อลักษณะขรุขระในบริเวณอวัยวะเพศ อาการตกขาวผิดปกติ คัน และแสบร้อนที่อวัยวะเพศ
การระคายเคืองหรืออาการแพ้
สารเคมีในผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น สบู่ ครีมอาบน้ำ น้ำยาซักผ้า ยาสวนล้าง ถุงยางอนามัย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น อาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองอวัยวะเพศ และทำให้เกิดอาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นได้
การตั้งครรภ์
ร่างกายคนท้องอาจมีระดับฮอร์โมนฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงกว่าปกติ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงของค่า pH (ค่าความเป็นกรด-ด่าง) ภายในช่องคลอด รวมถึงอาการตกขาวที่หลั่งออกมามากกว่าปกติอาจทำให้เกิดอาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอกได้
วัยหมดประจำเดือน
อาจทำให้ร่างกายผลิตเอสโตรเจนลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้ผนังช่องคลอดบางและแห้ง และทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม เริมที่อวัยวะเพศ อาจส่งผลให้เกิดอาการคันได้เช่นกัน
โรคผิวหนัง
โรคผิวหนัง เช่น โรคกลาก โรคสะเก็ดเงิน Lichen sclerosus ซึ่งเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และภาวะเดอร์มาโทกราเฟีย (Dermatographia) ซึ่งเป็นโรคผื่นแพ้ผิวหนังชนิดหนึ่ง อาจทำให้เกิดอาการคันที่อวัยวะเพศหญิง ภายนอกได้
โรคระบบปลายประสาทอักเสบ
เป็นภาวะที่เส้นประสาทซึ่งทำหน้าที่รับส่งคำสั่งจากสมองและไขสันหลังไปยังอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการบาดเจ็บ การผ่าตัด การกดทับเส้นประสาทอวัยวะเพศภายในกระดูกเชิงกรานหรือกระดูกสันหลัง จนส่งผลให้เกิดอาการคันได้
อาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอก ที่ควรไปพบคุณหมอ
หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอ
- อาการเจ็บ ปวด รวมถึงคันที่อวัยวะเพศนานเกิน 2-3 วัน
- ปวดหรือแสบเวลาปัสสาวะ
- ตกขาวผิดปกติ หรือมีกลิ่น
- รู้สึกเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
- มีติ่งเนื้อที่มีลักษณะขรุขระบริเวณอวัยวะเพศ
การรักษาอาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอก
อาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอกอาจรักษาตามสาเหตุ เช่น
- วัยหมดประจำเดือน อาจรักษาด้วยการให้ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน
- ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย อาจรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ควรใช้ยาให้ครบตามที่กำหนดเพื่อป้องกันการดื้อยา
- ติดเชื้อรา คุณหมออาจใช้ยาเหน็บช่องคลอด เช่น ยาโคลไตรมาโซล (Clotrimazole)
- หูดหงอนไก่ หากขนาดไม่ใหญ่มาก จะใช้ยาทาเพื่อให้หูดหงอนไก่หลุดออกไป แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
- เนื้องอกและมะเร็ง อาจรักษาด้วยการผ่าตัด การทำเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีบำบัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง
นอกจากนี้ หากอาการคันไม่รุนแรงอาจใช้ครีมคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) ทาบริเวณอวัยวะเพศอาจช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว
การป้องกันและดูแลตัวเองจากอาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอก
การปรับไลฟ์สไตล์ รวมถึงพฤติกรรมบางอย่าง อาจช่วยป้องกันการเกิดอาการคันอวัยวะเพศหญิง ภายนอกได้ เช่น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล อาจช่วยลดปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด เนื่องจากร่างกายก็ต้องการสารอาหารที่เหมาะสม เพื่อที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันจะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
- หลังจากปัสสาวะหรืออุจจาระ ควรล้างทำความสะอาด และเช็ดให้แห้งจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียจากทวารหนักเข้าสู่ช่องคลอด
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด เพราะอาจทำให้ช่องคลอดแห้งและอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลจุดซ่อนเร้นที่มีส่วนผสมของน้ำหอม รวมถึงไม่ควรทาแป้ง หรือโลชั่นในบริเวณอวัยวะเพศ
- หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ชุดชั้นใน เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว
- ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังจากออกกำลังกาย หรือว่ายน้ำ รวมถึงควรเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน
- หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดรูป หรือระบายอากาศได้ไม่ดี
- หลีกเลี่ยงการเกาบริเวณจุดซ่อนเร้น เพราะอาจยิ่งทำให้เกิดการระคายเคืองรุนแรงขึ้น
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการคันจะหายเป็นปกติ