backup og meta

เริมที่อวัยวะเพศหญิง สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงสุจิณันฐ์ นันทาภิวัธน์ · สุขภาพทางเพศ · โรงพยาบาลนครพิงค์


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 29/06/2023

    เริมที่อวัยวะเพศหญิง สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

    เริมที่อวัยวะเพศหญิง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex) หรือที่เรียกว่าไวรัสเริม ซึ่งอาจแบ่งออกเป็นชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ส่งผลให้มีตุ่มพุพองในบริเวณอวัยวะเพศ รู้สึกเจ็บแสบช่องคลอด และคันอวัยวะเพศอย่างรุนแรง ดังนั้น จึงควรป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกก่อนมีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนหลายคน และตรวจสุขภาพทางเพศเพื่อคัดกรองโรคเป็นประจำ

    สาเหตุที่ทำให้เกิด เริมที่อวัยวะเพศหญิง

    เริมที่อวัยวะเพศหญิงเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

    1. ไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1)

    อาจทำให้เป็นโรคเริมในช่องปาก ซึ่งสามารถติดต่อกันผ่านน้ำลาย หรือการให้แผลสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัส อีกทั้งยังสามารถทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้หากมีเพศสัมพันธ์ทางปากโดยไม่ป้องกัน

    อาการของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 อาจสังเกตได้ดังนี้

    • รู้สึกแสบร้อนบริเวณรอบ ๆ ปาก ช่องคลอด อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
    • มีอาการคัน มีรอยแดงที่ปาก ช่องคลอด ทวารหนัก หรืออวัยวะเพศ
    • มีตุ่มพุพองในช่องปาก ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก อวัยวะเพศ หรือก้น ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลเปิดเมื่อตุ่มพุพองแตก
    • แผลเป็นสะเก็ดแข็ง และอาจหายเป็นปกติภายใน 4-6 วัน

    2. ไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2)

    มักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและอาจแพร่กระจายต่อไปยังอีกบุคคลหนึ่งด้วยการสัมผัสผ่านทางผิวหนัง ซึ่งอาจส่งผลให้เชื้ออยู่ในร่างกายตลอดชีวิตและรักษาไม่หาย

    การติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 มักไม่ค่อยแสดงอาการ แต่บางคนอาจมีอาการ ดังนี้

    • มีอาการคัน ตุ่มแดง แผล และสะเก็ดแผลเริม บริเวณต้นขา ก้น ทวารหนัก อวัยวะเพศ ช่องคลอด หรือปากมดลูก
    • มีไข้
    • ปวดเมื่อยตามร่างกาย
    • ต่อมน้ำเหลืองโต

    วิธีรักษาเริมที่อวัยวะเพศหญิง

    เริมที่อวัยวะเพศหญิงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่คุณหมออาจให้รับประทานยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) เพื่อช่วยลดความรุนแรงของการติดเชื้อ ลดความถี่การเกิดซ้ำ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นเมื่อติดเชื้อครั้งแรก และลดการแพร่กระจายไวรัสไปยังผู้อื่น

    สำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพทารกในครรภ์ได้ คุณหมออาจแนะนำให้รับประทานยาต้านไวรัสถ้ามีการตรวจพบรอยโรค และแนะนำให้ผ่าตัดคลอดแทนการคลอดแบบธรรมชาติ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัสไปยังทารก ถ้ามีรอยโรคที่อวัยวะเพศหรือช่องทางคลอด

    นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยบรรเทาอาการเริม ดังนี้

    • ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือล้างอวัยวะเพศ อีกทั้งขณะปัสสาวะอาจฉีดน้ำล้างอวัยวะเพศเพื่อช่วยบรรเทาอาการแสบ
    • ประคบเย็นเมื่อรู้สึกเจ็บปวดแผล แต่ไม่ควรใช้น้ำแข็งประคบเย็นที่อวัยวะเพศโดยตรง ควรใช้ผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งก่อนแล้วจึงค่อยประคบ
    • ทายาแก้ปวด หรือปิโตรเลียมเจล เพื่อลดอาการเจ็บแสบละช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นบริเวณแผลเริม
    • หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้า และกางเกงชั้นในที่รัดแน่น เพื่อลดการระคายเคืองของผิว
    • ไม่ควรนำมือไปสัมผัสกับแผลหรือตุ่มพุพอง ยกเว้นเวลาที่ทาครีมแก้ปวด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
    • งดการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักจนกว่าแผลจะหาย และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยป้องกัน

    การป้องกันเริมที่อวัยวะเพศหญิง

    การป้องกันเริมที่อวัยวะเพศหญิง อาจทำได้ดังนี้

    • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหากสังเกตว่ามีแผลพุพอง หรืออาการคันอวัยวะเพศ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
    • ไม่แบ่งปันของใช้ร่วมกัน เช่น เซ็กส์ทอย ผ้าขนหนู
    • งดการสูบบุรี่ ดื่มสุรา เพราะอาจส่งผลให้อาการเริมกำเริบอีกครั้ง

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงสุจิณันฐ์ นันทาภิวัธน์

    สุขภาพทางเพศ · โรงพยาบาลนครพิงค์


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 29/06/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา