โรคกระเพาะ เป็นการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด การรับประทานยาแก้ปวดเป็นประจำ รักษาได้ด้วยการรับประทานยา ควบคู่กับการดูแลตัวเองด้วยการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
โรคกระเพาะ คืออะไร
โรคกระเพาะหรือโรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) เป็นการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร
มีทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยอัตราของผู้ป่วยโรคกระเพาะแบบเฉียบพลันมักพบประมาณ 8 คนจาก 1,000 คน ในขณะที่ผู้ป่วยโรคกระเพาะแบบเรื้อรังพบ 2 คนจาก 10,000 คน
อาการ
อาการของ โรคกระเพาะ
อาการที่พบได้เมื่อเป็นโรคกระเพาะ ได้แก่
- ปวดท้อง
- แน่นท้อง ท้องอืด
- อาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ไม่อยากอาหาร
- เรอหรือผายลมบ่อยกว่าปกติ
นอกจากนี้ หากปล่อยโรคกระเพาะไว้โดยไม่รักษา อาจเสี่ยงเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- มีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
- มีภาวะโลหิตจาง เนื่องจากการเสียเลือดเมื่อเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง
- เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
สาเหตุ
สาเหตุของ โรคกระเพาะ
โรคกระเพาะมีสาเหตุมาจากการที่เยื่อบุกระเพาะอาหารมีความต้านทานต่อกรดในกระเพาะอาหารลดลงหรือได้รับความเสียหาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori)
- การรับประทานยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือนาพรอกเซน โซเดียม (Naproxen Sodium)
- การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด
- ความเครียด
- ภาวะภูมิแพ้ตัวเอง อาจทำให้เซลล์ที่สร้างเยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลาย
- เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลงเมื่ออายุมากขึ้น
- น้ำดีไหลย้อนกลับเข้าไปในกระเพาะอาหาร
- การฉายรังสีหรือรับยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ
โดยทั่วไป โรคกระเพาะจะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันและหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ ดังนั้น หากมีอาการของโรคกระเพาะ อาจดูแลตัวเองในเบื้องต้นแล้วรอดูอาการ แต่หากมีอาการป่วยในลักษณะต่อไปนี้ ควรรีบไปพบคุณหมอ
- อาเจียนเป็นเลือด
- พบเลือดในอุจจาระ หรืออุจจาระเป็นสีดำ
- ปวดท้องในระดับรุนแรง
- หมดแรง คล้ายมีภาวะโลหิตจาง
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- กลืนอาหารได้ลำบาก
- อาการไม่ทุเลาลงหลังรับประทานยา
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์ทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคกระเพาะ
เมื่อไปพบคุณหมอด้วยโรคกระเพาะ หรือมีอาการของโรคกระเพาะ คุณหมอจะวินิจฉัยโรคด้วยการสอบถามอาการร่วมกับการตรวจดังต่อไปนี้
- ตรวจระบบทางเดินอาหารผ่านการทดสอบทางลมหายใจ เป็นการตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ด้วยการให้คนไข้บริโภคแคปซูลหรือของเหลวที่ผสมสารยูเรียไว้แล้วเป่าลมใส่ถุง หากมีการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในถุงจะเพิ่มขึ้น เพราะเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรมีคุณสมบัติเปลี่ยนยูเรียเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
- ตรวจเลือด หรือการเจาะเอาตัวอย่างเลือดไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร
- ตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรในตัวอย่างอุจจาระ
- ตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้นด้วยการเอกซเรย์ เพื่อมองหาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ทั้งนี้ ก่อนการตรวจ คุณหมอจะให้คนไข้กลืนธาตุแบเรียม (Barium) เพราะแบเรียมมีคุณสมบัติช่วยให้มองเห็นภายในระบบทางเดินอาหารชัดเจนขึ้น
- ตรวจทางเดินอาหารด้วยการส่องกล้อง โดยคุณหมอจะสอดกล้องเข้าทางปากของคนไข้ เพื่อตรวจดูสัญญาณของการอักเสบในกระเพาะอาหาร
การรักษาโรคกระเพาะ
หลังวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะ คุณหมอจะจ่ายยาดังต่อไปนี้
- ยาต้านแบคทีเรีย เช่น คลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) อะม็อกซีซิลลีน (Amoxicillin) เพื่อกำจัดแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรในกระเพาะอาหาร
- ยายับยั้งการหลั่งกรด มีฤทธิ์ลดกรดในท้อง ช่วยบรรเทาอาการปวดและแน่นท้อง และส่งเสริมการฟื้นฟูตัวเองของกระเพาะอาหาร ทั้งนี้ ยาลดกรดที่คุณหมอจ่ายให้อาจเป็นยากลุ่มโปรตอน ปั๊ม อินฮิบิเตอร์ (Proton Pump Inhibitors) เช่น แลนโซพราโซล (Lansoprazole) ราบีพราโซล (Rabeprazole) หรือยาในกลุ่มเอซิด บล็อกเกอร์ (Acid Blockers) อย่าง ฟาโมทิดีน (Famotidine) และไซเมทิดีน (Cimetidine)
- ยาลดกรด เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) ซึ่งช่วยปรับสภาพความเป็นกรดภายในกระเพาะอาหารให้มีความเป็นกลางมากขึ้น และช่วยบรรเทาการอักเสบภายในกระเพาะอาหารได้ อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้หรือยาในกลุ่มเดียวกัน มีผลข้างเคียงคือทำให้ท้องผูกหรือท้องร่วงได้
การปรับไลฟ์สไตล์และดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการของ โรคกระเพาะ สามารถทำได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ทุกมื้อ
- หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือมันจัด รวมถึงงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้ปวดบ่อย ๆ
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ
- ไม่นอนทันทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ควรเว้นระยะอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร