เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แต่เดิมเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศบราซิล ซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่หลากหลายชนิด อีกทั้งยังถูกนิยมนำมารับประทานเล่นเป็นของว่างระหว่างวัน หรือสามารถนำมาประกอบอาหารในเมนูต่าง ๆ ได้อีกด้วย ที่วันนี้ Hello คุณหมอ ขอนำเสนอ สูตรนมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เครื่องดื่มอีกหนึ่งชนิดที่อาจช่วยให้คุณแก้เบื่อจากการดื่มนมวัวแบบเดิม ๆ มาฝากทุกคนกันค่ะ
มารู้จักกับประโยชน์ของ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กันเถอะ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถือว่าเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่สำคัญมากมาย อย่าง วิตามินบี6 วิตามินเค และใยอาหาร หรือไฟเบอร์ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นพืชที่อาจให้ประโยชน์และมีส่วนช่วยในการปรับปรุงสุขภาพร่างกายของเราได้ ดังต่อไปนี้
- บำรุงสุขภาพหัวใจ
ในปีพ.ศ. 2546 สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา ระบุไว้ว่าอาหารการรับประทานอาหารจำพวกถั่วในปริมาณ 1 กำมือ ต่อวันอาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ เนื่องจากถั่วมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และเส้นใยอาหารที่คอยต้านอนุมูลอิสระ ที่อาจเข้ามาลดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลง
อีกทั้งยังมีการแนะนำมาจากสมาคมโรคหัวใจเพิ่มเติมด้วยว่า การรับประทานถั่วที่ดีไม่ควรมีการปรุงรสใด ๆ โดยเฉพาะการโรยเกลือ เพราะจะเป็นการสะสมเพิ่มของระดับแคลอรี่ที่ส่งผลให้เกิดการทำลายสุขภาพได้ในอนาคต
- ปกป้องดวงตาจากสภาพแวดล้อม
ปัจจุบันแหล่งที่อยู่อาศัยของเราโดยรอบ ถูกล้อมไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรม แสงยูวี และควันพิษจากยานพาหนะ จนทำให้บางครั้งสารพิษที่ลอยมากลับกลุ่มควันนั้น เข้าสู่ดวงตาของเราจนเกิดการติดเชื้อ หรือมีอาการระคายเคืองขึ้น ซึ่งการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์เข้าไป อาจเป็นการเพิ่มสารซีแซนทิน (Zeaxanthin) เข้าสู่ร่างกายที่จะนำไปช่วยบำรุงส่วนของเรตินา (Retina) ในดวงตาเรา และพร้อมต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้จอประสาทตาของเราเสื่อมสภาพลงได้
- อาจสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2
การศึกษาหนึ่งได้ร่วมทดสอบกับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ที่นักวิจัยได้ให้รับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ในระดับแคลอรี่เพียง 10% ซึ่งผลสรุปออกมาว่าระดับอินซูลินนั้นมีอัตราลดลง และถือเป็นสัญญาณที่ดีของการควบคุมน้ำตาลในเลือดได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์
อีกทั้งพืชชนิดนี้มีเส้นใยอาหารที่มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันมิให้เกิดโรคเบาหวานร่วมด้วย จึงทำให้ผู้ที่รับประทานอย่างเป็นประจำในปริมาณที่เหมาะสมค่อนข้างจะห่างไกลจากโรคนี้ แต่ถึงอย่างไรนักวิจัยยังคงกล่าวว่าการศึกษานี้จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อทดสอบผลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์นำมาปรับปรุงสุขภาพภายใน
การศึกษาของ Journal of Nutrition ระบุไว้ว่า ค้นพบหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าอาหารจำพวกถั่ว เต็มไปด้วยโอเมก้า3 และกรดไขมันที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกได้ รวมทั้งยังเพิ่มการอิ่มตัวได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เนื่องจากเส้นใยอาหาร และโปรตีนที่อยู่ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์จำนวนมากสามารถลดความอยากอาหารของคุณลงจึงเป็นสาเหตุของการนำไปสู่ส่งเสริมการลดน้ำหนักได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ คุณก็ไม่ควรนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์มารับประทานเพียงอย่างเดียว ควรมีการนำมารับประทานคู่กับอาหารอื่น ๆ พร้อมกับการออกกำลังกายร่วมด้วย พราะในบางครั้งพืชชนิดนี้อาจทำให้คุณเกิดอาการแพ้ หรือเข้าสู่ภาวะขาดสารอาหารได้ เมื่อรับประทานเกินความจำเป็น
สูตรนมเม็ดมะม่วงหิมพานต์
วัตถุดิบในการทำนม เม็ดมะม่วงหิมพานต์
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ 1 ถ้วย
- น้ำเปล่า 4 ถ้วย
- น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อมเมเปิ้ล 1-2 ช้อนโต๊ะ (หากต้องการเพิ่มรสชาติ)
อุปกรณ์การทำ
- เครื่องปั่นไฟฟ้า
วิธีทำ
- นำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ ไปแช่ลงในน้ำสะอาดเป็นเวลา 1 คืน ก่อนนำมาเริ่มทำเป็นเครื่องดื่ม
- จากนั้นวันถัดมาที่คุณต้องการเริ่มลงมือทำ ให้คุณล้างเม็ดมะม่วงหิมพานต์อีกครั้ง แล้วสะเด็ดน้ำออกทิ้งไว้ในภาชนะ
- ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมเทน้ำดื่มสะอาดที่เตรียมไว้ลงไป จนเนื้อของเครื่องดื่มนั้นมีลักษณะคล้ายเนื้อครีมเนียนสวย
- หากชิมรสชาติแล้วยังไม่เป็นที่น่าพอใจ คุณอาจเติมน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อมลงไปเพิ่มเติมได้
เพียงเท่านี้คุณก็ได้นมเม็ดมะม่วงหิมพานต์แท้จากธรรมชาติ โดยไร้การแต่งกลิ่นมารับประทานอย่างเอร็ดอร่อยในทุกมื้อที่คุณต้องการ และหากคุณมีความประสงค์อยากจะเก็บไว้ทานในวันถัดไป โปรดเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เพื่อนำไปแช่ในตู้เย็นไว้ ซึ่งนมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ปกติแล้วอาจเก็บรักษาไว้ได้ประมาณ 3-4 วันเท่านั้น และควรรีบบริโภคให้หมดภายใน 2-3 วันจะเป็นการดีที่สุดค่ะ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางบุคคล
โดยปกติแล้วการรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ค่อนข้างให้ความปลอดภัยแก่สุขภาพกับผู้บริโภคส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจก่อให้เกิดอาการแพ้อาหารสำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะอาการแพ้ธัญพืชจำพวกถั่วร่วมด้วยเช่นกัน
อีกทั้งผู้ที่รับประทานควรนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปผ่านการคั่ว หรือถูกทำให้สุกสักระยะหนึ่งก่อน และหลีกเลี่ยงการโรยเกลือหรือปรุงรสด้วยเกลือ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายของเราได้
[embed-health-tool-bmi]