ชะเอม เทศ เป็นสมุนไพรที่ให้รสหวานและมีกลิ่นหอม นิยมนำส่วนเหง้า เปลือกราก เนื้อในราก และดอกมาใช้เป็นส่วนประกอบในขนม อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ยาสูบ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ยาสมุนไพร เป็นต้น โดยเฉพาะส่วนของรากที่มักนำมาใช้เป็นส่วนผสมในยาขับเสมหะ น้ำยาบ้วนปาก ยาขับลม ผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายและให้ความสดชื่น ทั้งนี้ ควรปริโภคชะเอมเทศในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะโพแทสเซียมต่ำ (Hypokalemia)
[embed-health-tool-bmi]
ชะเอม เทศ คืออะไร
ชะเอมเทศ (Liquorice หรือ Licorice) เป็นไม้ดอกที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก แอฟริกาเหนือ และยุโรปใต้ นิยมนำส่วนรากมาสกัดเป็นสารให้ความหวานและให้กลิ่นหอม เนื่องจากมีสารให้ความหวานที่ชื่อว่า กลีไซริซิน (Glycyrrhizin) และ 24-ไฮดรอกซีกลีไซริซิน (24-hydroxyglyrrhizin) ที่หวานเข้มข้นกว่าน้ำตาลทราย มักใช้เป็นส่วนผสมในขนมและลูกอมเพื่อแต่งรส และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับภาวะสุขภาพต่าง ๆ เช่น ปัญหาทางเดินอาหาร อาการวัยหมดประจำเดือน อาการไอ การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
ประโยชน์ต่อสุขภาพของ ชะเอม เทศ
ชะเอมเทศอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของชะเอมเทศ ดังนี้
อาจช่วยรักษาโรคในช่องปาก
ชะเอมเทศมีสารในกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols) หลายชนิด จึงอาจมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และช่วยบรรเทาอาการของโรคในช่องปากได้ จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Oral Diseases เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของชะเอมเทศในการรักษาโรคทางทันตกรรมทั่วไป พบว่า ชะเอมเทศมีสารพฤกษเคมีอย่างกลีไซริซิน กลาบริดิน (Glabridin) ไลโคชาลโคน เอ (Licochalcone A) และลิโคริโซฟลาวาน เอ (Licorisoflavan A) ที่ออกฤทธิ์ต้านอนมูลอิสระและลดการอักเสบ อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคในช่องปากและฟัน เช่น ฟันผุ โรคปริทันต์อักเสบหรือโรคเหงือกอักเสบ (Periodontitis) การติดเชื้อรา และแผลร้อนในที่เกิดซ้ำ ๆ ได้
อาจช่วยบรรเทากรดไหลย้อน
สารสกัดจากรากชะเอมเทศอาจช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนในกระเพาะอาหาร ลดอาการบวม ลดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงลดอาการที่เกิดจากโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน โรคโครห์น โดยไม่จำเป็นต้องลดกรดในกระเพาะอาหาร
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the Australian Traditional-Medicine Society เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารจากกรดไหลย้อนด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีสารสกัดจากรากชะเอมเทศชนิดสกัดสารไกลซีไรซินออกแล้ว (Deglycyrrhizinated Licorice) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจำนวน 58 คนที่มีอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและเป็นกรดไหลย้อนนานเกิน 6 เดือน จากการเก็บข้อมูลเป็นเวลา 2 ปี พบว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการลดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและอาการจากโรคกรดไหลย้อนมากกว่าการรับประทานยาลดกรดทั่วไป (Antacids) ชะเอมเทศจึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน
อาจช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ชะเอมเทศมีไอโซลิควิริติเจนิน (Isoliquiritigenin) ที่มีฤทธิ์ลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตฮอร์โมนเพศ ทำให้ร่างกายผลิตเอสโตรเจนน้อยลง อาจช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนที่พบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ได้ โดยชะเอมเทศอาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์และการรับประทานยาคุมกำเนิด
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Iranian Journal Of Pharmaceutical Research เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 ศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของชะเอมเทศและยาไอบูโพรเฟนต่ออาการปวดประจำเดือน โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม ทุก ๆ 8 ชั่วโมง และกลุ่มที่ 2 ให้รับประทานสารสกัดจากชะเอมเทศ 5 ซีซี 2 ครั้ง/วัน ร่วมกับการรับประทานยาหลอก โดยใช้ยาติดต่อกัน 5 วันตั้งแต่มีประจำเดือนวันแรก เป็นเวลา 2 รอบเดือน พบว่า ยาที่กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มรับประทานสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ การรับประทานชะเอมเทศกับการบริโภคสารสกัดจากชะเอมเทศ อาจไม่ได้ให้ประโยชน์สุขภาพเทียบเท่ากัน จึงควรปรึกษาคุณหมอและเภสัชกรก่อนบริโภค
ข้อควรระวังในการบริโภคชะเอมเทศ
ข้อควรระวังในการบริโภคชะเอมเทศ อาจมีดังนี้
- การบริโภคชะเอมเทศในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายแก่สุขภาพ แต่หากบริโภคในปริมาณมากเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น กินลูกอมชะเอมเทศทุกวันเป็นเวลาหลายปี อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น เพิ่มระดับความดันโลหิต ลดระดับโพแทสเซียม เนื่องจากชะเอมเทศมีสารไกลซีไรซินที่ออกฤทธิ์ดังกล่าว ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจและโรคไต จึงควรจำกัดการบริโภคชะเอมเทศในระดับที่เหมาะสม
- การบริโภคชะเอมเทศอาจทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชะเอมเทศร่วมกับยาฮอร์โมน เช่น เอสโตรเจน เนื่องจากอาจลดประสิทธิภาพของยาฮอร์โมนที่ใช้ได้
- การบริโภคชะเอมเทศอาจลดระดับโพแทสเซียมในร่างกาย จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชะเอมเทศร่วมกับยาขับปัสสาวะ เพราะอาจทำให้มีโพแทสเซียมในร่างกายต่ำเกินไปจนเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจลำบาก และอาจหยุดหายใจจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคชะเอมเทศแต่พอดี หรือไม่เกิน 250 กรัม/สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดและทำให้ทารกมีปัญหาพัฒนาการด้านสติปัญญาได้