backup og meta

ชะเอมเทศ ประโยชน์ต่อสุขภาพ และข้อควรระวังในการบริโภค

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย เนตรนภา ปะวะคัง


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 18/10/2022

    ชะเอมเทศ ประโยชน์ต่อสุขภาพ และข้อควรระวังในการบริโภค

    ชะเอม เทศ เป็นสมุนไพรที่ให้รสหวานและมีกลิ่นหอม นิยมนำส่วนเหง้า เปลือกราก เนื้อในราก และดอกมาใช้เป็นส่วนประกอบในขนม อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ยาสูบ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ยาสมุนไพร เป็นต้น โดยเฉพาะส่วนของรากที่มักนำมาใช้เป็นส่วนผสมในยาขับเสมหะ น้ำยาบ้วนปาก ยาขับลม ผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายและให้ความสดชื่น ทั้งนี้ ควรปริโภคชะเอมเทศในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะโพแทสเซียมต่ำ (Hypokalemia)

    ชะเอม เทศ คืออะไร

    ชะเอมเทศ (Liquorice หรือ Licorice) เป็นไม้ดอกที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก แอฟริกาเหนือ และยุโรปใต้ นิยมนำส่วนรากมาสกัดเป็นสารให้ความหวานและให้กลิ่นหอม เนื่องจากมีสารให้ความหวานที่ชื่อว่า กลีไซริซิน (Glycyrrhizin) และ 24-ไฮดรอกซีกลีไซริซิน (24-hydroxyglyrrhizin) ที่หวานเข้มข้นกว่าน้ำตาลทราย มักใช้เป็นส่วนผสมในขนมและลูกอมเพื่อแต่งรส และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับภาวะสุขภาพต่าง ๆ เช่น ปัญหาทางเดินอาหาร อาการวัยหมดประจำเดือน อาการไอ การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย

    ประโยชน์ต่อสุขภาพของ ชะเอม เทศ

    ชะเอมเทศอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของชะเอมเทศ ดังนี้

    อาจช่วยรักษาโรคในช่องปาก

    ชะเอมเทศมีสารในกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols) หลายชนิด จึงอาจมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และช่วยบรรเทาอาการของโรคในช่องปากได้ จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Oral Diseases เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของชะเอมเทศในการรักษาโรคทางทันตกรรมทั่วไป พบว่า ชะเอมเทศมีสารพฤกษเคมีอย่างกลีไซริซิน กลาบริดิน (Glabridin) ไลโคชาลโคน เอ (Licochalcone A) และลิโคริโซฟลาวาน เอ (Licorisoflavan A) ที่ออกฤทธิ์ต้านอนมูลอิสระและลดการอักเสบ อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคในช่องปากและฟัน เช่น ฟันผุ โรคปริทันต์อักเสบหรือโรคเหงือกอักเสบ (Periodontitis) การติดเชื้อรา และแผลร้อนในที่เกิดซ้ำ ๆ ได้

    อาจช่วยบรรเทากรดไหลย้อน

    สารสกัดจากรากชะเอมเทศอาจช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนในกระเพาะอาหาร ลดอาการบวม ลดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงลดอาการที่เกิดจากโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน โรคโครห์น โดยไม่จำเป็นต้องลดกรดในกระเพาะอาหาร

    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the Australian Traditional-Medicine Society เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารจากกรดไหลย้อนด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีสารสกัดจากรากชะเอมเทศชนิดสกัดสารไกลซีไรซินออกแล้ว (Deglycyrrhizinated Licorice) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจำนวน 58 คนที่มีอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและเป็นกรดไหลย้อนนานเกิน 6 เดือน จากการเก็บข้อมูลเป็นเวลา 2 ปี พบว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการลดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและอาการจากโรคกรดไหลย้อนมากกว่าการรับประทานยาลดกรดทั่วไป (Antacids) ชะเอมเทศจึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน

    อาจช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

    ชะเอมเทศมีไอโซลิควิริติเจนิน (Isoliquiritigenin) ที่มีฤทธิ์ลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตฮอร์โมนเพศ ทำให้ร่างกายผลิตเอสโตรเจนน้อยลง อาจช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนที่พบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ได้ โดยชะเอมเทศอาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์และการรับประทานยาคุมกำเนิด

    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Iranian Journal Of Pharmaceutical Research เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 ศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของชะเอมเทศและยาไอบูโพรเฟนต่ออาการปวดประจำเดือน โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม ทุก ๆ 8 ชั่วโมง และกลุ่มที่ 2 ให้รับประทานสารสกัดจากชะเอมเทศ 5 ซีซี 2 ครั้ง/วัน ร่วมกับการรับประทานยาหลอก โดยใช้ยาติดต่อกัน 5 วันตั้งแต่มีประจำเดือนวันแรก เป็นเวลา 2 รอบเดือน พบว่า ยาที่กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มรับประทานสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ใกล้เคียงกัน

    ทั้งนี้ การรับประทานชะเอมเทศกับการบริโภคสารสกัดจากชะเอมเทศ อาจไม่ได้ให้ประโยชน์สุขภาพเทียบเท่ากัน จึงควรปรึกษาคุณหมอและเภสัชกรก่อนบริโภค

    ข้อควรระวังในการบริโภคชะเอมเทศ

    ข้อควรระวังในการบริโภคชะเอมเทศ อาจมีดังนี้

  • การบริโภคชะเอมเทศในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายแก่สุขภาพ แต่หากบริโภคในปริมาณมากเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น กินลูกอมชะเอมเทศทุกวันเป็นเวลาหลายปี อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น เพิ่มระดับความดันโลหิต ลดระดับโพแทสเซียม เนื่องจากชะเอมเทศมีสารไกลซีไรซินที่ออกฤทธิ์ดังกล่าว ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจและโรคไต จึงควรจำกัดการบริโภคชะเอมเทศในระดับที่เหมาะสม
  • การบริโภคชะเอมเทศอาจทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชะเอมเทศร่วมกับยาฮอร์โมน เช่น เอสโตรเจน เนื่องจากอาจลดประสิทธิภาพของยาฮอร์โมนที่ใช้ได้
  • การบริโภคชะเอมเทศอาจลดระดับโพแทสเซียมในร่างกาย จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชะเอมเทศร่วมกับยาขับปัสสาวะ เพราะอาจทำให้มีโพแทสเซียมในร่างกายต่ำเกินไปจนเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจลำบาก และอาจหยุดหายใจจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคชะเอมเทศแต่พอดี หรือไม่เกิน 250 กรัม/สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดและทำให้ทารกมีปัญหาพัฒนาการด้านสติปัญญาได้
  • หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    เนตรนภา ปะวะคัง


    เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 18/10/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา