พริกหวาน หรือ พริกหยวก (Bell Peppers) จัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ ที่มีสีเขียว เหลือง แดง และส้ม นิยมนำมาปรุงอาหารและรับประทานสด พริกหวานมีรสชาติหวานอ่อน ๆ และมีความเผ็ดน้อยกว่าพริกอื่น ๆ นอกจากนี้ พริกหวานยังมีสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี โพแทสเซียม ที่อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบทางเดินอาหารและอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน
[embed-health-tool-bmi]
คุณค่าทางโภชนาการของพริกหวาน
พริกหวานหนึ่งถ้วย อาจให้พลังงาน 30 แคลอรี่ และมีคาร์โบไฮเดรต 7 กรัม ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 3.5 กรัม ไฟเบอร์ 2.5 กรัม และสารอาหารอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- วิตามินซี
- วิตามินเอ
- วิตามินอี
- วิตามินบี 6
- โพแทสเซียม
- โฟเลต
นอกจากนี้ พริกหวานยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ลูทีน (Lutein) แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) แคปแซนทีน (Capsanthin) ไวโอลาแซนทิน (Violaxanthin) เควอซิทิน (Quercetin) และลูทอีโอลิน (Luteolin) ที่อาจช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ที่ส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง
ประโยชน์ของพริกหวานต่อสุขภาพ
พริกหวานมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณของพริกหวานในการส่งเสริมสุขภาพ ดังนี้
-
อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
พริกหวานมีไฟเบอร์สูง ที่อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณของกากอาหาร และช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการท้องผูก
จากการศึกษาหนึ่งในวารสาร World Journal of Gastroenterology เมื่อปี พ.ศ. 2555 ที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของใยอาหารต่ออาการท้องผูก โดยค้นหาบทความที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 1,322 บทความ จากฐานข้อมูลของเว็บไซต์ Ovid MEDLINE, Cochrane Library และ PubMed พบว่า การบริโภคใยอาหารอาจช่วยเพิ่มความถี่ในการขับถ่ายในผู้ที่มีอาการท้องผูกได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันประสิทธิภาพที่แน่ชัดของการบริโภคใยอาหารเพื่อช่วยเพิ่มความสม่ำเสมอของการขับถ่าย รักษาอาการท้องผูก หรือลดความจำเป็นในการใช้ยาระบาย
-
อาจดีต่อสุขภาพตา
พริกหวานมีสารลูทีน และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพืชผักผลไม้หลายชนิด เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ และพบได้ในบริเวณดวงตา มีบทบาทสำคัญช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ของจอประสาทตา ที่อาจนำไปสู่การเกิดต้อกระจกและการติดเชื้อ
จากการศึกษาในวารสาร The Third International Tropical Agriculture Conference ปี พ.ศ. 2562 ที่ศึกษาเกี่ยวกับพริกชี้ฟ้าและพริกอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งของสารซีแซนทีน พบว่า ซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบได้ในผักและผลไม้ตามธรรมชาติ รวมถึงพริกสีส้มและสีเหลือง อาจช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) จากแสงสีฟ้าที่มีสาเหตุมาจากสารอนุมูลอิสระทำให้เซลล์รับแสงและเม็ดสีในดวงตาเสื่อมสภาพ และอาจนำไปสู่ตาบอด
-
อาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง
พริกหวานอุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ นำไปสู่การอักเสบ ที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ดังนั้น การรับประทานพริกหวานจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังได้
การศึกษาในวารสาร Natural Products in Health Promotion and Disease Prevention ปี พ.ศ. 2562 ที่ศึกษาเกี่ยวกับแคโรทีนอยด์ของพริก พบว่า พริกหวานมีแคโรทีนอยด์ที่พบได้ในพืชสีแดง สีเหลือง และสีส้ม อาจช่วยต้านการอักเสบจากอนุมูลอิสระ ที่สร้างความเสียหายต่อผนังหลอดเลือด จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) ที่เป็นเอนไซม์ช่วยย่อยสลาย จึงทำให้กระบวนการย่อยคาร์โบไฮเดรตช้าลง และส่งผลให้การดูดซึมน้ำตาลกลูโคสลดลง จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ที่นำไปสู่โรคเบาหวานได้
-
อาจช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
การรับประทานพริกหวานอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้ เนื่องจากพริกหวานมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ลูทีน แคโรทีนอยด์ สารแคปแซนทีน ไวโอลาแซนทิน เควอซิทิน และลูทอีโอลิน รวมถึงวิตามินซีในปริมาณสูง
การศึกษาในวารสาร Pakistan Journal of Food Sciences เมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่ศึกษาเกี่ยวกับศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระของพริกหวาน พบว่า พริกหวานมีวิตามินซีสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยป้องกันเซลล์เสื่อมสภาพเนื่องจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ที่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง
ข้อควรระวังในการบริโภคพริกหวาน
ปกติแล้วการรับประทานพริกหวานแบบสดหรือนำมาปรุงอาหาร อาจดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ก่อนรับประทานพริกหวาน ควรล้างทำความสะอาดให้ดีด้วยการใช้น้ำยาล้างผัก หรือแช่ในน้ำเปล่าผสมเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เป็นเวลาประมาณ 10 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดแบบเปิดไหลผ่าน เพื่อช่วยกำจัดสารพิษจากยาฆ่าแมลงที่อาจตกค้างอยู่
สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เกสรดอกไม้ แพ้ผักบางชนิด หรือแพ้พริกหยวก อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานพริกหวาน เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นขึ้นตามลำตัว ใบหน้า หรือรอบปาก ลิ้นบวม และอาจมีปัญหาในทางเดินระบบหายใจได้