backup og meta

โซเดียมคืออะไร สำคัญต่อร่างกายอย่างไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 10/11/2022

    โซเดียมคืออะไร สำคัญต่อร่างกายอย่างไร

    โซเดียมคืออะไร? โซเดียม เป็นธาตุอาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้ทั่วไปในอาหาร รวมถึงในเกลือ น้ำปลา และเครื่องปรุงรสต่าง ๆ โซเดียมมีประโยชน์หลายประการ เช่น ช่วยรักษาสมดุลของของเหลวภายในร่างกาย ช่วยควบคุมความดันเลือด ช่วยในกระบวนการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ หากร่างกายขาดโซเดียมอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติอย่างคลื่นไส้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสมองบวม ในขณะที่การรับประทานโซเดียมมากเกินไปจะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

    โซเดียมคืออะไร ใช่เกลือหรือไม่

    โซเดียมเป็นธาตุอาหารอย่างหนึ่ง พบได้ในอาหารหลาย ๆ ชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ชีส ไข่ รวมถึงอาหารแปรรูปอย่างขนมปัง พิซซ่า หมูหยอง ไส้กรอก

    บ่อยครั้ง คำว่าโซเดียมกับเกลือมักถูกใช้แทนกัน จนหลายคนคิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โซเดียมไม่ใช่เกลือ แต่เป็นส่วนประกอบของเกลือ เช่นเดียวกับธาตุอาหารคลอไรด์ (Chloride) ทั้งนี้ เกลือประกอบด้วยโซเดียม 40 เปอร์เซ็นต์และคลอไรด์ 60 เปอร์เซ็นต์

    โซเดียมคืออะไร สำคัญต่อร่างกายอย่างไร

    โซเดียมเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีดังต่อไปนี้

    • ช่วยรักษาสมดุลของปริมาณเลือดในระบบหมุนเวียนเลือด ระดับโซเดียมในร่างกายสัมพันธ์กับปริมาณของเลือด เมื่อโซเดียมสูงขึ้น ปริมาณเลือดจะสูงขึ้นตาม และหากโซเดียมสูงเกินไป ไตจะขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ เพื่อให้ปริมาณเลือดกลับสู่ระดับปกติ แต่หากโซเดียมและปริมาณเลือดลดต่ำลงกว่าปกติ ต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน (Aldosterone) ออกมาเพื่อทำให้ไตหยุดขับโซเดียมและไม่เกิดการขับปัสสาวะออกจากร่างกาย ช่วยให้ปริมาณเลือดสูงขึ้นสู่ระดับปกติ
    • ช่วยลดการขาดน้ำ โซเดียมช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำได้มากขึ้น ดังนั้น จึงช่วยป้องกันการขาดน้ำหลังใช้แรงงานหรือออกกำลังกายได้ ทั้งนี้ การบริโภคโซเดียม 400 มิลลิกรัม อาจช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำได้มากขึ้นประมาณ 2 แก้ว หรือ 240 มิลลิลิตร
    • ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหดตัว การหดตัวของกล้ามเนื้อ เป็นการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อเมื่อออกกำลังกายหรือยกสิ่งของ โดยโซเดียมในร่างกายจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณผ่านไปยังเซลล์ประสาทเพื่อทำให้กล้ามเนื้อหดตัว

     ร่างกายควรได้รับโซเดียมมากแค่ไหน

    เด็กอายุ 11 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2.4 กรัม/วัน หรือปริมาณเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา

    ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีนั้น ควรบริโภคโซเดียมในปริมาณดังต่อไปนี้

    • เด็กอายุ 1-3 ปี ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 0.8 กรัม/วัน
    • เด็กอายุ 4-6 ปี ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 1.2 กรัม/วัน
    • เด็กอายุ 7-10 ปี ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2 กรัม/วัน

    จะเป็นอย่างไรเมื่อร่างกายขาดโซเดียม

    การขาด โซเดียม หรือมีภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) เป็นสาเหตุของอาการผิดปกติต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • ปวดหัว สับสน มึนงง
    • อ่อนล้า อ่อนเพลีย ง่วงนอน เมื่อยล้า
    • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
    • กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว
    • สมองบวม ซึ่งอาจนำไปสู่อาการโคม่าและเสียชีวิตได้

    ปัจจุบัน ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำนั้นพบได้ไม่บ่อยนัก เพราะอาหารส่วนใหญ่ล้วนมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุมักเกิดภาวะโซเดียมต่ำ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถกักเก็บน้ำและโซเดียมได้ดีเท่ากับคนหนุ่มสาว

    สำหรับปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้โซเดียมในเลือดลดต่ำลงกว่าปกติ ได้แก่

    • การอาเจียนหรือท้องร่วงเรื้อรังและรุนแรง
    • การดื่มน้ำมากเกินไปจนร่างกายต้องขับปัสสาวะออกมามากขึ้น
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของต่อมหมวกไต
    • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยากล่อมประสาท ยาแก้ปวด
    • ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ ไต และตับ
    • กลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสม (Syndrome of Inappropriate Antidiuretic Hormone Secretion หรือ SIADH)

    การบริโภค โซเดียม มากเกินไป ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร

    หากบริโภคโซเดียมในปริมาณมาก ปริมาณเลือดจะสูงขึ้น และส่งผลให้ความดันเลือดสูงขึ้นตาม และหากบริโภคโซเดียมในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง ความดันเลือดก็จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การที่ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปจึงอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดโป่งพอง และโรคไตได้

    งานวิจัยชิ้นหนึ่ง เรื่องการบริโภคโซเดียมและโรคความดันเลือดสูง เผยแพร่ในวารสาร Nutrients ปี พ.ศ. 2562 ระบุว่า เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางและมีงานวิจัยหลายชิ้นรองรับว่าระดับโซเดียมนั้นมีผลต่อความดันเลือด หากร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมาก จะส่งผลให้ความดันเลือดสูง ซึ่งมักเพิ่มความเสี่ยงให้เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 10/11/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา