ค่าน้ำตาลปกติในผู้ป่วยเบาหวาน หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งโดยปกติมักอยู่ที่ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือสูงกว่า ผู้ป่วยเบาหวานมีน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นพลังงานเพื่อใช้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมค่าน้ำตาลไม่ให้สูงเกินไป เพราะเมื่อระดับน้ำตาลยิ่งสูงก็จะยิ่งเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อันส่งผลร้ายต่อร่างกายมากยิ่งขึ้นไปอีก
[embed-health-tool-bmi]
ผู้ป่วยเบาหวานกับค่าน้ำตาลในเลือด
โดยปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นหลังรับประทานอาหาร และอินซูลินจะถูกหลั่งออกมาเพื่อลำเลียงน้ำตาลไปยังเซลล์ต่าง ๆ สำหรับใช้เป็นพลังงาน และทำให้ค่าน้ำตาลลดลงสู่ระดับปกติ
ในกรณีของผู้ป่วยเบาหวาน ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ ทำให้น้ำตาลถูกลำเลียงออกไปน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และมีน้ำตาลตกค้างในกระแสเลือดมากขึ้น การสะสมของน้ำตาลในเลือด ทำให้ค่าน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานสูงกว่าคนทั่วไป และยังเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ หากไม่ดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ควบคุมน้ำหนักหากเป็นโรคอ้วน รับประทานยาหรือฉีดอินซูลินตามแผนการรักษาของคุณหมอ
วิธีการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด
ค่าน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน สามารถตรวจได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
ตรวจน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร
การตรวจน้ำตาลหลังอดอาหาร (Fasting Blood Sugar Test) เป็นการตรวจค่าน้ำตาลในเลือดจากตัวอย่างเลือด ซึ่งจำเป็นต้องอดอาหารก่อนตรวจอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และผลตรวจที่ได้คือค่าน้ำตาลขณะเจาะเลือด ซึ่งในแต่ละช่วงมีความหมายดังนี้
- 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป หมายถึง เป็นโรคเบาหวาน
- ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง มีความเสี่ยงโรคเบาหวาน หรือมีภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes)
- ต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
ทั้งนี้ สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกาชี้ว่า ค่าน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน ควรถูกควบคุมให้อยู่ระหว่าง 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ก่อนมื้ออาหาร และน้อยกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังมื้ออาหาร
ตรวจน้ำตาลในเลือดแบบ Hba1c
การตรวจน้ำตาลในเลือดแบบ HbA1c ย่อมาจาก ฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1C) เป็นการตรวจเลือดเพื่อให้ทราบค่าน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากปริมาณน้ำตาลกลูโคสบนโปรตีนฮีโมโกลบิน อันเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง
ค่าน้ำตาลซึ่งตรวจแบบ Hba1c จะแสดงค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนี้
- 6.5 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป หมายถึง เป็นโรคเบาหวาน
- ระหว่าง 5.7-6.4 เปอร์เซ็นต์ หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน
- ต่ำกว่า 5.7 เปอร์เซ็นต์ หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
การตรวจความทนต่อน้ำตาล
การตรวจความทนต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test) คือการตรวจความสามารถในการใช้น้ำตาลของร่างกาย โดยต้องงดอาหารข้ามคืน แล้วตรวจค่าน้ำตาลในเลือด 1 ครั้ง จากนั้นดื่มของหวานที่มีน้ำตาลรสหวาน แล้วรอ 2 ชั่วโมงจึงตรวจค่าน้ำตาลอีกครั้ง โดยผลตรวจที่ได้ มีความหมายดังนี้
- 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป หมายถึง เป็นโรคเบาหวาน
- ระหว่าง 140-199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes)
- ต่ำกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
การตรวจเลือดแบบสุ่มเพื่อหาระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจเลือดแบบสุ่ม (Random Blood Sugar Test) คือการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลในช่วงเวลาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อน และหากพบค่าน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตรหรือมากกว่า จะหมายความว่าเป็นโรคเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีตรวจพบค่าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ยังไม่สามารถใช้ระบุว่าได้ว่าไม่เป็นเบาหวานหรือ มีภาวะก่อนเบาหวาน จำเป็นต้องตรวจด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยอย่างละเอียดอีกครั้ง
ความเสี่ยงต่อสุขภาพเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง
หากผู้ป่วยเบาหวานไม่ควบคุมน้ำหนัก ไม่วางแผนโภชนาการโดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีไขมันต่ำและน้ำตาลต่ำ รวมทั้งไม่ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการรับประทานยาและดูแลตัวเองตามคำแนะนำของคุณหมอ อาจเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเบาหวานเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนต่อไปนี้
- การติดเชื้อต่าง ๆ อาทิ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อที่ผิวหนัง
- ภาวะเลือดเป็นกรด เนื่องจากมีปริมาณสารคีโตนในกระแสเลือดมากผิดปกติ ส่งผลให้มีอาการปวดหัว อ่อนเพลีย หายใจติดขัด ในกรณีรุนแรงผู้ป่วยเบาหวานอาจหมดสติหรือเสียชีวิตได้
- หลอดเลือดเสียหาย หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป จะส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งขึ้นกว่า ปกติ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้การลำเลียงเลือดและออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติเกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงตามมาได้
- เบาหวานขึ้นตา เกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดจอประสาทตา ส่งผลให้ตาพร่ามัว จอประสาทตาหลุดออก หรือตาบอด
- เบาหวานลงเท้า เกิดจากการเสื่อมหรือตีบของหลอดเลือดแดงในร่างกาย ร่วมกับการเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลาย มีผลให้ผู้ป่วยรู้สึกชาหรือร้อนวูบวาบที่เท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดบาดแผลที่เท้า เช่น เดินสะดุด ผิวแห้งแตก ทำให้แผลไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จนส่งผลให้เกิดแผลเรื้อรังที่เท้า และเป็นอันตรายหากแผลเน่าเปื่อยหรือลุกลามอาจร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้ต้องตัดเท้า
- โรคไตจากเบาหวาน หลอดเลือดที่ไตอาจถูกทำลายเนื่องจากปริมาณน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินปกติ ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้ป่วยจะมีโปรตีนรั่วไหลในปัสสาวะ มือ-เท้าบวม ไม่อยากอาหาร และมีอาการสับสน
ทั้งนี้ ผู้ป่วยเบาหวาน ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพได้