backup og meta

เบาหวาน เท้าดํา สาเหตุและวิธีรักษา

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงบุรัสกร ทวีบูรณ์ · โรคเบาหวาน · SRK BMI Center


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 04/01/2023

    เบาหวาน เท้าดํา สาเหตุและวิธีรักษา

    เบาหวาน เท้าดํา เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่อควบคุมเบาหวานได้ไม่ดีเป็นระยะเวลานาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงมากเกินไปจะส่งผลให้หลอดเลือดแดงส่วนปลายและเส้นประสาทส่วนปลายถูกทำลาย ผิวหนังที่เท้าจึงมีสีซีดหรือคล้ำลงเนื่องจากขาดเลือด ทั้งนี้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนนี้ได้ด้วยการดูแลสุขภาพเท้าอย่างถูกวิธี ไปพบคุณหมอตามนัด และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายอยู่เสมอ หากพบว่าเท้าดำหรือคล้ำลง หรือมีแผลที่หายช้าผิดปกติ ควรไปพบคุณหมอเพื่อตรวจและรับการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้แผลลุกลามไปยังบริเวณข้างเคียง

    เบาหวาน เท้าดํา เกิดจากอะไร

    หากผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี จะทำให้เป็นแผลได้ง่ายและแผลหายช้ากว่าปกติ เนื่องจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังจะทำให้เส้นประสาทและหลอดเลือดเสื่อมลง ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี รวมถึงมีอาการชา ปวด เสียวแปล๊บคล้ายไฟช็อต ไปจนถึงสูญเสียประสาทการรับความรู้สึกที่เท้า (Diabetic neuropathy) ปัญหาสุขภาพเท้าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรัง 

    เมื่อมีอาการเท้าชาจะทำให้การรับความรู้สึกลดลง จึงอาจไม่ทันรู้ตัวเมื่อเท้าเป็นแผล มีตุ่มพุพอง หรือเป็นตาปลา ทำให้เสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อนง่ายขึ้น และการที่หลอดเลือดเสื่อมลง จะทำให้เลือดไหลเวียนไปยังบาดแผลและบริเวณใกล้เคียงได้ไม่ดี จึงอาจส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณที่ติดเชื้อค่อย ๆ เสื่อมสภาพ และเปลี่ยนเป็นสีซีดหรือสีคล้ำลง หากปล่อยทิ้งไว้หรือรักษาไม่ถูกวิธี แผลอาจลุกลามจนต้องตัดเท้าหรือเนื้อเยื่อส่วนที่เสียหายออกไป เพื่อรักษาเนื้อเยื่อข้างเคียงที่ยังไม่ติดเชื้อเอาไว้

    ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการ เบาหวาน เท้าดํา มีดังนี้

    • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายไม่ได้
    • เป็นโรคเบาหวานมานาน และควบคุมเบาหวานได้ไม่ดีเป็นประจำ
    • มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
    • สูบบุหรี่
    • มีภาวะความดันโลหิตสูง
    • มีภาวะไขมันในเลือดสูง (คอเลสเตอรอลสูง)

    อาการ เบาหวาน เท้าดํา

    อาการเท้าดำอาจพบร่วมกับอาการแสดงอื่น ๆ ดังนี้

  • ผิวหนังบริเวณเท้าบวมแดง รู้สึกเจ็บ จับแล้วรู้สึกอุ่น เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • มีการติดเชื้อที่เท้าและเท้าเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ อาจเป็นสัญญาณว่าเนื้อเยื่อขาดเลือดจนเกิดเนื้อตาย
  • วิธีรักษาอาการเท้าดำของผู้ป่วยเบาหวาน

    การรักษาปัญหาสุขภาพเท้าในผู้ป่วยเบาหวานจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการที่พบ วิธีรักษาโดยทั่วไปอาจมีดังนี้

    การดูแลรักษาเบื้องต้นด้วยตนเอง

    • ล้างทำความสะอาดแผล และรักษาแผลและบริเวณโดยรอบให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
    • รับประทานยาฆ่าเชื้อตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด เพราะหากรับประทานยาไม่สม่ำเสมออาจเสี่ยงทำให้เชื้อดื้อยาได้
    • หากเป็นหูดหรือตาปลา ควรไปพบคุณหมอเพื่อกำจัดหูดหรือตาปลาออกอย่างถูกวิธี
    • ควบคุมโรคเบาหวานให้ดี เพราะยิ่งมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็จะยิ่งทำให้แผลหายช้าลงและเสี่ยงติดเชื้อง่ายขึ้น

    การรักษาด้วยการผ่าตัด

    หากรักษาด้วยยาและวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดดังตัวอย่างต่อไปนี้ ซึ่งคุณหมอจะพิจารณาตามข้อบ่งชี้

    • การผ่าเอาเนื้อเยื่อที่ตายหรือส่วนที่ติดเชื้อรุนแรงออกจากบาดแผล
    • การผ่าตัดเล็บขบ
    • การผ่าตัดเนื้อเยื่อหรืออวัยวะส่วนที่ตายและขาดเลือด ซึ่งอาจจำเป็นต้องตัดนิ้วเท้า เท้า หรือขาออก เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้การติดเชื้อหรือการขาดเลือดลุกลามสู่บริเวณข้างเคียง
    • การผ่าตัดกระดูกเพื่อปรับรูปเท้าให้กลับมาเป็นปกติ 
    • การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดแดง ในกรณีที่มีเส้นเลือดตีบตัน เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ
    • การผ่าตัดขยายหลอดเลือดที่ตีบตัน เพื่อช่วยให้เลือดกลับมาไหลเวียนได้อีกครั้ง

    วิธีการดูแลเท้าที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

    การดูแลเท้าในเบื้องต้นอย่างถูกวิธีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผล ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อเรื้อรัง จนต้องตัดขา สามารถทำได้ดังนี้

    • หมั่นสังเกตและตรวจสุขภาพเท้าเป็นประจำทุกวัน เพื่อหาบาดแผล อาการบวม หรือความเปลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณเท้าและเล็บเท้า
    • รักษาความสะอาดเท้าอยู่เสมอ โดยการล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้งทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้อับชื้น จากนั้นทาโลชั่นเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง หลีกเลี่ยงการทาโลชั่นระหว่างซอกนิ้ว เพราะอาจทำให้อับชื้นและเสี่ยงติดเชื้อได้
    • หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า และควรสวมถุงเท้า รองเท้าที่หุ้มปลายเท้า หรือสลิปเปอร์ ทั้งภายนอกและภายในบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลที่เท้าจากการกระแทกเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่ทันระวัง
    • สวมรองเท้าที่พอดีกับขนาดเท้า แนะนำให้เลือกรองเท้าแบบหุ้มส้นที่ช่วยให้เท้าไม่เลื่อนหลุด และควรเป็นรองเท้าที่ไม่เปิดส่วนปลายเท้า นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าหน้าแคบหรือหัวแหลมเพราะอาจบีบรัดและเสียดสีเท้าจนทำให้เกิดแผล หากเป็นไปได้ควรสวมถุงเท้าด้วยเสมอ
    • ตัดเล็บเท้าเป็นแนวตรง และตะไบเล็บเพื่อลบคม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่ขอบเล็บจะฝังเข้าไปในเนื้อด้านข้างเล็บ จนเกิดแผลเล็บขบได้
    • หากมีตาปลาหรือหูดที่เท้า ควรไปพบคุณหมอเพื่อรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการตัด ดึง หรือซื้อยามาทาเอง เนื่องจากอาจทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่และลึกขึ้น
    • ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเท้าเบาหวานประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทเสื่อมหรือปัญหาแผลที่เท้าหายช้า โดยคุณหมอจะตรวจสุขภาพเท้าโดยรวม และตรวจระบบเส้นประสาท รวมทั้งความยืดหยุ่นของหลอดเลือดด้วย 

    เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ

    หากผู้ป่วยสังเกตเห็นว่าเท้าเริ่มเปลี่ยนสีหรือคล้ำลง หรือมีอาการต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอโดยเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามไปยังบริเวณข้างเคียง

    • มีแผล ตุ่มพุพอง ฝี การติดเชื้อ เล็บขบ ที่บริเวณเท้า
    • บาดแผลไม่หายหลังจากทำแผลเองเบื้องต้นแล้ว 2-3 วัน
    • มีอาการปวดขามากผิดปกติ หรือขาชา เวลาออกกำลังกาย เดิน หรือขึ้นบันได 
    • รู้สึกเสียวคล้ายไฟช็อต แสบร้อน หรือปวดที่เท้า
    • เท้าชา หรือ รับรู้สึกได้ลดลง
    • เท้ามีรูปร่างเปลี่ยนไปจากเดิม 
    • ขนที่นิ้วเท้าหรือเท้าขาร่วงและขึ้นใหม่น้อยลง
    • ผิวหนังบริเวณเท้าแตกเป็นแผล
    • เท้ามีสีและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไป
    • เล็บเท้าหนาขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีเหลือง จนตัดเล็บเองลำบาก
    • ติดเชื้อรา

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงบุรัสกร ทวีบูรณ์

    โรคเบาหวาน · SRK BMI Center


    เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 04/01/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา