โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ จัดเป็นโรคผิวหนังชนิดเรื้อรัง อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ได้ ทั้งนี้ ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาจเกิดจากพันธุกรรมหรือสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้บนผิวหนัง ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ มักหายไปเองหลังคลอดบุตร อย่างไรก็ตาม สามารถดูแลตนเองเพื่อลดโอกาสเกิดโรคดังกล่าวได้
[embed-health-tool-due-date]
สาเหตุ โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ ระหว่างตั้งครรภ์
โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ (Eczema) ระหว่างตั้งครรภ์ มีโอกาสอาจเกิดขึ้นกับหญิงท้องแทบทุกรายแต่ไม่เป็นอันตราย โดยจะมีอาการเช่นเดียวกับโรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ในคนปกติ หากเป็นชนิดไม่รุนแรงมักมีอาการผิวแห้ง และคัน แต่หากเป็นชนิดรุนแรงอาจทำให้ผิวหนังหลุดลอก รวมถึงมีเลือดออกที่ผิวหนังได้
โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ ชนิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม
- โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ชนิดนี้จะสืบทอดทางกรรมพันธุ์ มีความน่าจะเป็นว่าผู้ป่วยหรือสมาชิกในครอบครัว อาจเป็นโรคหอบหืดหรือโรคภูมิแพ้ชนิดอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
จากการสัมผัส
- สามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสสารเคมี ผงซักฟอก เชื้อรา และโลหะ เช่น จากการสัมผัสต่างหู โดยอาจเกิดจากระดับฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ภูมิต้านทานต่าง ๆ ในร่างกายไม่สมดุลและก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อสารเคมีต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าปกติ
การดูแลตนเองเมื่อเป็น โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ ระหว่างตั้งครรภ์
หากพบว่าตนเองมีผื่นแพ้ อาการคัน ตุ่มแดง ขึ้นบนผิวหนังตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุระหว่างตั้งครรภ์ สามารถดูแลตนเองได้ ดังนี้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้
ผู้ป่วยหลายคนมักเกิดการระคายเคืองเมื่อสัมผัสกับขนสัตว์ สะเก็ดผิวหนังจากสัตว์เลี้ยง หรือเกิดอาการแพ้จากการรับประทานอาหารบางชนิด หรือจากการสัมผัสกับเครื่องประดับ เมื่อทราบว่าตนเองถูกกระตุ้นจากสิ่งใด ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวและเป็นธรรมชาติ
ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการปรุงแต่ง รวมถึงไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ
ไม่ปล่อยให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอับชื้น
ไม่แช่น้ำนานมากเกินไป รวมถึงไม่ควรอาบน้ำหรือว่ายน้ำนานมากเกินไปเช่นกัน ควรล้างมือให้สม่ำเสมอเพื่อสุขอนามัย แต่ก็ไม่ควรล้างมือบ่อยเกินไป หรือเช็ดตัวให้แห้งอยู่เสมอ
รักษาผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
อาการผิวแห้งและผิวแตกทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือคัน แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการใช้มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนประกอบของสารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่โครงสร้างผิวหนัง เช่น เซราไมด์ ซึ่งเป็นไขมันธรรมชาติที่เชื่อมเซลล์ผิว และเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เกราะป้องกันผิว หรือใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารยูเรีย ซึ่งช่วยคงความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง และมักนำมาใช้รักษา อาการผิวหนังอักเสบ โดยเฉพาะ
ทำให้ร่างกายเย็นอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนหรือทำให้ร่างกายมีเหงื่อออก เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบ ผื่นแพ้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรสวมใส่เสื้อผ้าบางเบาที่ให้ความสบายและระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าเนื้อหยาบ รวมถึง หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าและสิ่งของที่ผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์หรือขนสัตว์
หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิกะทันหัน
อุณหภูมิที่พุ่งขึ้นสูงจะทำให้เหงื่อออกจำนวนมาก ในขณะที่เมื่อความชื้นลดลงอย่างฉับพลัน ผิวหนังก็จะแห้งและคัน ดังนั้น ไม่ควรไปห้องอบไอน้ำ ห้องอบซาวน่า หรือเข้าเรียนโยคะร้อน เพราะอาจกระตุ้นให้เสี่ยงเกิดโรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้
เมื่อผิวหนังเกิดอาการคันไม่ควรเกา
เพราะการเกาจะทำให้ โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ แย่ลง และสร้างความเสียหายให้กับผิวหนังจนนำมาสู่การติดเชื้อจากแบคทีเรียได้ อาจใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน นอกจากนี้ ควรตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ และหากมีพฤติกรรมเกาโดยไม่รู้ตัวขณะนอนหลับ ควรสวมใส่ถุงมือผ้าแบบบางก่อนเข้านอน
ไม่ทำให้ตนเองเครียด
เนื่องจากความเครียดอาจส่งผลให้ภูมิต้านทานต่ำลง และทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ได้ พยายามฟังเพลงเพื่อผ่อนคลาย หากิจกรรมที่ชื่นชอบ พูดคุยกับคนใกล้ตัวหากรู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
พูดคุยกับคุณหมอเกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุด
หากโรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้รุนแรง ควรไปหาคุณหมอเพื่อตรวจดูอาการ โดยการรักษามีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาทาเฉพาะจุดที่มีสเตียรอยด์ภายใต้การควบคุมของแพทย์ การใช้ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) ซึ่งเป็นยาแก้แพ้จะช่วยลดอาการคันได้ดี ในขณะที่ยาทาน้ำมันดินอาจมีคุณประโยชน์ที่ช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะกับสภาพผิวและสุขภาพโดยรวม