โรคในเด็ก ที่พบได้บ่อยอาจมีหลายโรค ไม่ว่าจะเป็น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคอีสุกอีใส โรคปอดอักเสบ ที่อาจส่งผลให้เด็ก ๆ เจ็บป่วย และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ โรคในเด็ก เพื่อคอยสังเกตอาการผิดปกติและพาเด็ก ๆ เข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของเด็ก
[embed-health-tool-vaccination-tool]
5 โรคในเด็ก ที่พบบ่อย
โรคในเด็ก ที่พบได้บ่อย มีดังนี้
1. โรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่ มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส 3 ชนิด คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A และ B ที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง และไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด C ที่อาจไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง และไม่แพร่ระบาด
เด็ก ๆ อาจได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ผ่านการไอ การจาม หรือการสัมผัสกับสิ่งรอบตัวที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคจากละอองสารคัดหลั่ง เช่น ลูกบิดประตู ของเล่น ปากกา ดินสอ หลังจากได้รับเชื้ออาจเริ่มมีอาการภายในประมาณ 5-7 วัน โดยสังเกตอาการของไข้หวัดใหญ่ในเด็ก ได้ดังนี้
- มีไข้สูงกว่า 39.4-40.5 องศาเซลเซียส
- มีอาการจามและไออย่างรุนแรง
- เจ็บคอ
- น้ำมูกไหลและคัดจมูก
- ปวดศีรษะ
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลียและปวดเมื่อยตามร่างกาย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย
ควรพาเด็กเข้าพบคุณหมอทันทีหากอาการไม่ดีขึ้น มีไข้สูงต่อเนื่อง มีปัญหาการหายใจ ผิวเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน อาเจียนบ่อย ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะน้อยลง และมีอาการชัก
การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่
การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ในเด็ก อาจทำได้ดังนี้
- ยาแก้ปวด เช่น อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และลดไข้ ไม่ควรให้เด็กรับประทานยาแอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เป็นกลุ่มอาการราย (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่ส่งผลให้ตับและสมองเกิดความผิดปกติเฉียบพลัน ที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
- ยาต้านไวรัส เช่น บาลอกซาเวียร์ มาร์โบซิล (Baloxavir marboxil) โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ซานามิเวียร์ (Zanamivir) ซึ่งควรให้เด็กเริ่มรับประทานภายในระยะเวลไม่เกิน 2 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ เพื่อช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ช่วยบรรเทาอาการของไข้หวัดใหญ่ และช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วย แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง ไม่ซื้อยารับประทานเอง
- ยาแก้ไอ เด็กที่มีอาการไออาจให้รับประทานยาแก้ไอตามที่คุณหมอหรือเภสัชกรกำหนด
- น้ำเกลือล้างจมูก เด็กที่มีน้ำมูกหรือมีอาการคัดจมูก คุณพ่อคุณแม่สามารถนำน้ำเกลือและไซริงค์สำหรับล้างจมูก มาล้างจมูกเพื่อช่วยกำจัดน้ำมูก และทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ คุณพ่อคุณแม่ควรให้เด็กดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยป้องกันร่างกายขาดน้ำ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย และช่วยขับปัสสาวะ อีกทั้งยังควรให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ อาจทำได้ดังนี้
- เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ที่อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในการต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่
- พาเด็ก ๆ ออกกำลังกาย เช่น วิ่งในสวนสาธารณะ เตะฟุตบอล ว่ายน้ำ
- พาเด็ก ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ขึ้นไป
- ไม่ควรให้เด็กอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- สอนให้เด็ก ๆ ล้างมือหลังจากจับสิ่งของ หลังเข้าห้องน้ำ หรือก่อนรับประทานอาหารเพื่อรักษาสุขอนามัย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่
- สวมใส่หน้ากากอนามัยให้เด็ก ๆ เมื่อต้องออกไปอยู่ในพื้นที่แออัด มีคนพลุกพล่าน หรือสถานพยาบาล
2. โรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสเป็นโรคในเด็กที่พบได้บ่อยโดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster) ที่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับตุ่มอีสุกอีใส และการสูดดมละอองจากสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อจากการไอและจามเข้าสู่ทางเดินหายใจ ซึ่งตุ่มอีสุกอีใสจะปรากฏหลังจากร่างกายได้รับเชื้อ 10-21 วัน โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเด็กได้ ดังต่อไปนี้
- ตุ่มอีสุกอีใสปรากฏขึ้นบนผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย เช่น ใบหน้า หนังศีรษะ รักแร้ ลำตัว แขน ขา ในช่องปาก และอาจแตกออกจนกลายเป็นแผลพุพอง ตกสะเก็ด
- มีไข้
- ไอ และน้ำมูกไหล
- ปวดศีรษะ
- รู้สึกเบื่ออาหาร
- เหนื่อยล้า รู้สึกไม่สบายตัว
- ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
ควรพาเด็ก ๆ เขาพบคุณหมอทันที หากตุ่มอีสุกอีใสลุกลามไปยังบริเวณดวงตา มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส วิงเวียนศีรษะ หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว อาเจียน และอาการไอรุนแรงขึ้น เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคปอดอักเสบ อาการชัก โรคไข้สมองอักเสบ การติดเชื้อที่เนื้อเยื่อ กระดูก ข้อต่อและกล้ามเนื้อ
การรักษาโรคอีสุกอีใส
สำหรับเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีอาการรุนแรงอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล คุณหมออาจแนะนำให้รักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาแก้แพ้และคาลาไมน์โลชั่นเพื่อบรรเทาอาการคัน ใช้ยาอะเซตามิโนเฟนเพื่อลดไข้ และให้เด็ก ๆ พักผ่อนและดื่มน้ำให้มาก ๆ ป้องกันร่างกายขาดน้ำ
แต่สำหรับเด็กที่มีอาการอีสุกอีใสรุนแรง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน คุณหมออาจให้รับประทานยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) ภายใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค
การป้องกันโรคอีสุกอีใส
การป้องกันโรคอีสุกอีใสอาจทำได้ด้วยการระมัดระวังไม่ให้เด็กอยู่ใกล้กับผู้ป่วยอีสุกอีใส สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปยังพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด และควรพาเด็ก ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส โดยอาจเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน สำหรับโดสแรก และตั้งแต่ 18 เดือน – 4 ปี สำหรับโดสที่สองแต่หากเป็นช่วงที่โรคกำลังระบาดสามารถรับโดสสองห่างจากโดสแรกได้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป
สำหรับเด็กโตที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ควรฉีดทันทีเมื่ออายุ 7-12 ปี จำนวน 2 โดส โดยแต่ละโดสห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน และสำหรับเด็กโตอายุ 13 ปีขึ้นไป ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ควรฉีดให้ครบ 2 โดส แต่ละโดสห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์
3. โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากเป็นโรคในเด็กที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งชนิดที่พบบ่อยที่สุด คือ คอกซากีไวรัส เอ 16 (Coxsackievirus A16) ที่สามารถได้รับผ่านการสูดดมสารคัดหลั่งจากการไอและจามเข้าสู่ทางเดินหายใจ หรือการสัมผัสกับของเหลวจากแผล โดยอาการของโรคมือเท้าปากอาจปรากฏขึ้นหลังจากเด็กได้รับเชื้อ 3-6 วัน ดังนี้
- มีผื่นแดงแต่ไม่มีอาการคัน พบได้มากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และก้น
- แผลพุพองพร้อมอาการแสบที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม
- มีไข้
- เจ็บคอ
- น้ำลายไหล
- รู้สึกเบื่ออาหาร
- หงุดหงิดง่าย
การรักษาโรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากไม่มีการรักษาเฉพาะทาง โดยปกติแล้วเด็ก ๆ จะมีอาการดีขึ้นหรือหายได้เองภายใน 7-10 วัน อย่างไรก็ตาม หากเด็กมีอาการเจ็บปวดแผล มีไข้ หรือเจ็บคอ คุณพ่อคุณแม่สามารถให้เด็กรับประทานยาอะเซตามิโนเฟนหรือไอบูโพรเฟน เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและลดไข้ได้
นอกจากนี้ ควรให้เด็กรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น เพื่อช่วยทำให้แผลในช่องปากชา ช่วยลดอาการเจ็บปวด และควรให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ หลีกเลี่ยงการให้รับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสชาติเปรี้ยวและเผ็ด เพราะทำให้เด็กรู้สึกแสบแผล
การป้องกันโรคมือเท้าปาก
การป้องกันโรคมือเท้าปาก อาจทำได้ดังนี้
- สอนให้เด็กหมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปาก
- หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็ก ๆ อยู่ใกล้กับผู้ป่วย และหากเด็กมีอาการป่วยควรให้หยุดพักที่บ้าน เพื่อลดการแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่น ๆ
- คุณพ่อคุณแม่ควรทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ รวมถึงสิ่งรอบตัวที่เด็กสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น ของเล่น ราวบันได ลูกบิดประตู โซฟา โต๊ะ เก้าอี้
4. ท้องเสีย
ท้องเสียเป็นโรคในเด็กที่อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรตา (Rotavirus) การติดเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา (Salmonella) หรือการติดเชื้อปรสิตไกอาร์เดีย (Giardia) ที่ส่งผลให้กระเพาะและลำไส้อักเสบ นำไปสู่อาการท้องเสีย นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากอาหารเป็นพิษ โรคลำไส้แปรปรวน และโรคโครห์น (Crohn’s Disease) ซึ่งเป็นกลุ่มโรคลำไส้อักเสบที่มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตสัญญาณเตือนของอาการท้องเสีย ได้ดังนี้
- ขับถ่ายเหลว ขับถ่ายบ่อย
- ปวดท้อง
- วิงเวียนศีรษะ
- ท้องอืด
- มีไข้
- ผิวหนังและริมฝีปากแห้ง
- ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มหรือปัสสาวะน้อย ที่อาจเกิดจากภาวะร่างกายขาดน้ำ
- อุจจาระเป็นเลือด
ควรพาเด็ก ๆ เข้าพบคุณหมอทันที หากมีผื่นขึ้นลำตัว มีอาการท้องเสียต่อเนื่องมากกว่า 3 ครั้ง/วัน มีไข้สูง อุจจาระเป็นเลือด ปวดท้องนานกว่า 2 ชั่วโมง และไม่ปัสสาวะนานกว่า 6-12 ชั่วโมง
การรักษาอาการท้องเสีย
สำหรับเด็กที่ท้องเสียเล็กน้อยและไม่มีอาการอาเจียน ปกติแล้วอาจมีอาการดีขึ้นจนหายได้เองภายใน 2-3 วัน โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอาหารที่รับประทานหรือให้เด็กรับประทานเกลือแร่ แต่สำหรับเด็กที่มีอาการอื่น ๆ ร่วม อาจจำเป็นต้องรักษา ดังนี้
- เด็กท้องเสียและมีอาการอาเจียน คุณพ่อคุณแม่ควรให้เด็กหยุดอาหารและจดบันทึกว่าเด็กรับประทานอาหารชนิดใดแล้วท้องเสีย และควรให้เด็กดื่มน้ำหรือเกลือแร่ เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป
- เด็กท้องเสียระดับรุนแรง ควรพาเข้าพบคุณหมอทันที เพื่อรับการรักษา โดยคุณหมออาจให้ดื่มน้ำหรือให้น้ำเกลือเพื่อทดแทนของเหลวที่ร่างกายสูญเสียออกไป
การป้องกันอาการท้องเสีย
การป้องกันอาการท้องเสีย อาจทำได้ดังนี้
- สอนให้เด็กรักษาสุขอนามัยด้วยการล้างมือให้ถูกต้อง โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังหยิบจับสิ่งของ และหลังจากเข้าห้องน้ำ เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจส่งผลให้เด็กติดเชื้อและมีอาการท้องเสีย
- หลีกเลี่ยงการให้เด็กรับประทานอาหารที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้
- พาเด็ก ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีนโรตาไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการท้องเสีย
- หลีกเลี่ยงการให้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น ควรปรึกษาคุณหมอก่อนให้เด็กรับประทานยา เพราะยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจส่งผลข้างเคียงที่ทำให้เด็กท้องเสียได้
5. โรคปอดอักเสบ
โรคปอดอักเสบหรือโรคปอดบวมเป็นโรคในเด็กที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา เช่น ไวรัสอาร์เอสวี (RSV) แบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae) แบคทีเรียฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา ชนิดบี (Hemophilus influenza type B) และเชื้อรา นิวโมซิสติส จิโรเวซิไอ (Pneumocystis jirovecii) โดยแพร่กระจายผ่านทางการสูดดมสารคัดหลั่งจากการไอและจาม หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อและเผลอนำมือเข้าปาก
สัญญาณเตือนของโรคปอดอักเสบในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกต มีดังนี้
- มีไข้
- ไอและมีเสมหะ
- หายใจไม่ออก หรือหายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอกเมื่อหายใจเข้าลึก ๆ หรือไอ
- อาเจียน
- หนาวสั่น
- ปวดศีรษะ
- ท้องเสีย
- เหนื่อยง่าย
- รู้สึกเบื่ออาหาร
การรักษาโรคปอดอักเสบ
การรักษาโรคปอดอักเสบ อาจทำได้ดังนี้
- รับประทานยาพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟน เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ลดไข้
- รับประทานยาแก้ไอและกำจัดเสมหะ เช่น โคเดอีน (Codeine) เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (Dextromethorphan)
- ควรให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำให้มาก ๆ
- ยาปฏิชีวนะ แบบรับประทานหรือฉีดเข้าทางหลอดเลือด ใช้สำหรับเด็กที่มีอาการปอดอักเสบระดับรุนแรง และอาจต้องให้ออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจร่วมด้วย
การป้องกันโรคปอดอักเสบ
การป้องกันโรคปอดอักเสบ อาจทำได้ดังนี้
- สอนให้เด็กล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกหลังจากสัมผัสสิ่งรอบตัว หลังจากเข้าห้องน้ำ และก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก
- หลีกเลี่ยงให้เด็กสัมผัสใบหน้าตนเองบ่อย ๆ โดยไม่ได้ล้างมือ
- สอนให้เด็กไอและจามใส่ทิชชู หรือสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่แออัด
- พาเด็ก ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ซึ่งสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ขึ้นไป อีกทั้งควรพาเข้ารับการฉีดวัคซีนพีซีวี 13 (Pneumococcal Conjugate Vaccine 13) เพื่อลดโอกาสเป็นโรคปอดบวม โดยสามารถพาเด็กเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน และควรรับการฉีดต่อเนื่องตามเกณฑ์จนกว่าจะอายุครบ 15 เดือน