diabetes insipidus หรือ โรคเบาจืด เป็นโรคที่พบได้ยาก เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียความสมดุลของน้ำ ซึ่งมีผลมาจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone หรือ ADH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายผลิตปัสสาวะมากเกินไป อาจทำให้มีอาการกระหายน้ำมาก ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปัสสาวะมากขึ้นและบ่อยครั้ง จนอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้
คำจำกัดความ
diabetes insipidus คืออะไร
diabetes insipidus หรือ โรคเบาจืด คือ โรคที่ทำให้ร่างกายผลิตปัสสาวะมากเกินไป โดยอาจปัสสาวะมากถึง 20 ลิตร/วัน ซึ่งผู้ที่มีร่างกายปกติจะปัสสาวะเฉลี่ยเพียง 1-2 ลิตร/วัน เท่านั้น ผู้ที่เป็นโรคเบาจืดจึงปัสสาวะมากขึ้นและบ่อยครั้ง เนื่องจากมีอาการกระหายน้ำตลอดเวลาและดื่มน้ำมากขึ้น หรือเรียกว่า ภาวะดื่มน้ำมากผิดปกติ (Polydipsia)
โรคเบาจืดไม่เหมือนกับโรคเบาหวาน แม้ว่าจะมีอาการกระหายน้ำมากและมีการปัสสาวะมากขึ้นเหมือนกัน แต่โรคเบาหวานเกี่ยวข้องกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปและไตจะพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ส่วนโรคเบาจืดจะมีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ แต่ไตมีความผิดปกติที่ไม่สามารถขับปัสสาวะได้อย่างเหมาะสม
อาการ
อาการของ diabetes insipidus
อาการของโรคเบาจืดอาจสังเกตได้ ดังนี้
- กระหายน้ำและต้องการดื่มน้ำมากขึ้น
- ปวดปัสสาวะมากขึ้น ประมาณ 20 ลิตร/วัน และปัสสาวะบ่อยในช่วงกลางคืน
- ปัสสาวะมีสีซีด
- ปวดกล้ามเนื้อ ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยล้า
- วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หมดสติ
อาการของโรคเบาจืดในทารกหรือเด็กเล็ก อาจมีดังนี้
- ปัสสาวะรดผ้าอ้อมและที่นอน
- นอนหลับยาก
- มีไข้ อาเจียน น้ำหนักลดลง
- ท้องผูก
- การเจริญเติบโตล่าช้า
หากมีอาการปัสสาวะมากเกินไปและกระหายน้ำผิดปกติควรรีบพบคุณหมอทันทีเพื่อวินิจฉัยอาการ
สาเหตุ
สาเหตุของ diabetes insipidus
โรคเบาจืดมีสาเหตุมาจากร่างกายไม่สามารถปรับสมดุลของระดับของเหลวได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone หรือ ADH) ที่เกี่ยวข้องกับการขับปัสสาวะ โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะผลิตจากสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) และเก็บไว้ในต่อมใต้สมอง ภาวะนี้จะทำให้เกิดการขาดฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกหรือขัดขวางการทำงานของฮอร์โมน ส่งผลให้เกิดการผลิตปัสสาวะมากเกินไป สาเหตุความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกอาจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเบาจืด ดังนี้
- โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Central Diabetes Insipidus) เกิดจากความเสียหายของต่อมใต้สมองหรือไฮโปทาลามัสเนื่องจากการผ่าตัด เนื้องอก อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือความเจ็บป่วย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการผลิตฮอร์โมน การจัดเก็บและการหลั่งฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก นอกจากนี้ ความผิดปกตินี้อาจเกิดจากโรคทางพันธุกรรมที่สืบทอดกันมาได้เช่นกัน
- โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต (Nephrogenic Diabetes Insipidus) เกิดจากการที่ไตไม่สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ อาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือโรคไตเรื้อรัง การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลิเธียม (Lithium) ยาต้านไวรัสกรดฟอสโฟโนเมทาโนอิก (Foscarnet)
- โรคเบาจืดขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Insipidus) เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้น้อย อาจเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์เนื่องจากเอนไซม์ที่ผลิตจากรกทำลายฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก
- โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของการดื่มน้ำ (Primary Polydipsia) เป็นภาวะทางจิตที่อาจทำให้เกิดการผลิตปัสสาวะมากขึ้น เนื่องจากการดื่มของเหลวในปริมาณมากเกินไป อาจก่อให้เกิดจากความเสียหายต่อกลไกการควบคุมความกระหายของเหลวในร่างกาย
ในบางกรณีอาจไม่มีสาเหตุของโรคเบาจืดที่ชัดเจนหรืออาจมีความผิดปกติที่เกิดจากภาวะภูมิต้านทานตนเองที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์สำหรับสร้างฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของ diabetes insipidus
โรคเบาจืดอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้
- โรคเบาจืดมักเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่สร้างความผิดปกติให้กับไต ทำให้ปัสสาวะมากเกินไป
- เคยผ่าตัดสมองหรือเคยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะมาก่อน
- การรับประทานยาที่ก่อให้เกิดปัญหาไตหรือโรคไบโพลาร์บางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยากลุ่มลิเทียม (Lithium Carbonate) อะลูมิเนียม ไฮดรอกไซด์ (Aluminium Hydroxide)
- ความผิดปกติของการเผาผลาญที่ส่งผลให้แคลเซียมในเลือดสูงหรือระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
ภาวะแทรกซ้อนของ diabetes insipidus
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเป็นโรคเบาจืด คือ ภาวะขาดน้ำ เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป อาจทำให้มีอาการกระหายน้ำ ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยล้า คลื่นไส้ เป็นลม สำหรับผู้ที่มีภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงอาจนำไปสู่อาการชัก เนื่องจากสมองถูกทำลายอย่างถาวรและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงควรพบคุณหมอทันที หากมีอาการวิงเวียนศีรษะ เซื่องซึมและเหนื่อยล้ามาก
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัย diabetes insipidus
การวินิจฉัยโรคเบาจืดอาจทำได้ ดังนี้
- การทดสอบภาวะขาดน้ำ คุณหมออาจให้หยุดดื่มของเหลวเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ปริมาณปัสสาวะ ความเข้มข้นของปัสสาวะและเลือด จากนั้นคุณหมออาจวัดฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก เพื่อดูความเพียงพอของปริมาณฮอร์โมนในร่างกายและการตอบสนองของไตต่อฮอร์โมน
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI) ตรวจหาความผิดปกติบริเวณต่อมใต้สมอง
- การตรวจคัดกรองทางพันธุกรรม คุณหมออาจแนะนำให้ตรวจคัดกรองทางพันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะมากเกินไป
การรักษา diabetes insipidus
การรักษาโรคเบาจืดอาจขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ดังนี้
- การรักษาโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง สำหรับผู้ที่มีอาการของโรคเบาจืดเพียงเล็กน้อย คุณหมออาจให้ควบคุมปริมาณปัสสาวะด้วยการให้เพิ่มการดื่มน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำเนื่องจากปัสสาวะมากเกินไป แต่หากผู้ป่วยมีภาวะผิดปกติทางจิต อาจจำเป็นต้องลดปริมาณการดื่มน้ำลงร่วมกับการรักษาภาวะทางจิตร่วมด้วย แต่หากเกิดจากความผิดปกติภายในต่อมใต้สมองหรือไฮโปทาลามัส คุณหมออาจเริ่มรักษาจากสาเหตุของความผิดปกติก่อน จากนั้น คุณหมออาจสั่งยาเพิ่มเพื่อควบคุมการหลั่งฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก เช่น ฮอร์โมนสังเคราะห์เดสโมเพรสซิน (Desmopressin) คลอโพรพาไมด์ (Chlorpropamide)
- การรักษาโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต คุณหมออาจให้รับประทานอาหารที่มีเกลือน้อยเพื่อลดปริมาณการขับเกลือออกทางปัสสาวะ และต้องดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ จากนั้นอาจรักษาด้วยยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ (Hydrochlorothiazide) เพื่อช่วยควบคุมการปัสสาวะ
- การรักษาโรคเบาจืดขณะตั้งครรภ์ อาจรักษาด้วยการใช้เดสโมเพรสซิน (Desmopressin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์เพื่อลดปริมาณการขับปัสสาวะ
- การรักษาโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของการดื่มน้ำ อาจไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่อาจควบคุมด้วยการลดปริมาณการดื่มของเหลว แต่หากเกิดจากภาวะทางจิต คุณหมออาจต้องรักษาภาวะทางจิตร่วมด้วยเพื่อบรรเทาอาการ
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อจัดการกับ diabetes insipidus
โรคเบาจืดเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนจึงอาจไม่สามารถป้องกันได้ แต่อาจดูแลตัวเองได้โดยการปรับพฤติกรรม ดังนี้
- ป้องกันการสูญเสียน้ำและภาวะขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคเบาจืดมีอาการขับปัสสาวะปริมาณมากจนอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป
- หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด เนื่องจากอาหารที่มีเกลือมากจะส่งผลให้ร่างกายขับเกลือออกมาทางปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้
- ใช้ยาตามคุณหมอสั่งและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพราะโรคเบาจืดจำเป็นต้องควบคุมอาการของโรคด้วยยา
[embed-health-tool-bmi]