ภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema) เป็นภาวะระยาวที่เกิดจากการอุดตันของน้ำเหลือง (น้ำเหลืองไม่่สามารถระบายออกได้) ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ โดยส่วนใหญ่มักพบบริเวณ แขนทั้ง 2 ข้าง หรือ ขาทั้ง 2 ข้าง อาจได้รับผลกระทบ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการบวมที่ศีรษะ อวัยวะเพศ หน้าอก เป็นต้น
คำจำกัดความ
ภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema) คืออะไร
ภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema) เป็นภาวะระยาวที่เกิดจากการอุดตันของน้ำเหลือง (น้ำเหลืองไม่สามารถระบายออกได้) ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ โดยส่วนใหญ่มักพบในบริเวณ แขนทั้ง 2 ข้าง หรือ ขาทั้ง 2 ข้าง ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการบวมที่ศีรษะ อวัยวะเพศ หน้าอก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะบวมน้ำเหลืองไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถบรรเทาควบคุมอาการได้
พบได้บ่อยเพียงใด
ภาวะบวมน้ำเหลืองมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 34 ปี ขึ้นไป รวมถึงในผู้ที่อยู่ในภาวะอ้วน มีน้ำหนักเกิน โรคไขข้ออักเสบ หรือโรคสะเก็ดเงิน เป็นต้น
อาการ
อาการของภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema)
อาการของภาวะบวมน้ำเหลือง มักเกิดขึ้นที่บริเวณแขนและขา โดยมีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
- มีอาการบวมและรู้สึกหนักบริเวณแขนและขา
- มีอาการปวด รู้สึกตึงหรือผิวบริเวณที่มีอาการแข็ง
- ปวดเมื่อย ไม่สบายตัว
- เคลื่อนไหวลำบาก
ควรไปพบหมอเมื่อใด
หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema)
ภาวะบวมน้ำเหลืองเป็นภาวะที่หายาก โดยเกิดจากความผิดปกติของต่อมน้ำเหลือง เช่น การติดเชื้อ การฉายรังสีจากโรคมะเร็ง การผ่าตัด มักได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของพัฒนาการท่อน้ำเหลือง โดยแบ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
- โรคมิลรอย (Milroy’s Disease) เป็นความผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ในวันเด็ก
- โรคเมฮ์ (Meige Disease) มักพบภาวะบวมน้ำเหลืองในช่วงวัยแรกรุ่นหรืออยู่ในภาวะตั้งครรภ์ แต่ในบางกรณีอาจเกิดหลังอายุ 35 ปี
- ภาวะบวมน้ำเหลืองในช่วงหลัง (Lymphedema Tarda) อาการนี้ไม่ได้พบบ่อยนัก มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema)
ในเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามประวัติและอาการของผู้ป่วย เช่น เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการบวม โดยใช้วิธีดังต่อไปนี้
- การวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging : MRI)
- การตรวจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography Scan : CT Scan)
- การสแกนอัลตราซาวด์ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound)
- การฉีดสีประเมินการอุดตันของระบบน้ำเหลือง (Lymphoscintigraphy)
การรักษาภาวะบวมน้ำเหลือง
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาภาวะบวมน้ำเหลืองให้หายขาด วิธีการรักษาจึงมุ่งเน้นในการบรรเทาอาการเจ็บปวด และลดอาการบวม
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema)
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะบวมน้ำเหลือง มีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการได้รับบาดเจ็บบริเวณแขนและขา ป้องกันตัวเองจากของมีคม การได้รับบาดเจ็บ
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ควรออกกำลังกายและยืดกล้ามเนื้อ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่หนัก ๆ
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป
- รักษาสุขอนามัย โดยเฉพาะบริเวณแขนและขา การดูแลผิวและเล็บ เป็นต้น