โรค ซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน เมื่อเป็นแล้ว จะมีอาการเศร้าสร้อย เหนื่อยหน่าย หมดหวัง รู้สึกไร้ค่า และมีอาการปวดหัวหรือปวดตามลำตัวร่วมด้วย ทั้งนี้ หากพบสัญญาณของโรคซึมเศร้า ควรไปพบคุณหมอ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น จนถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือตัดสินใจฆ่าตัวตายได้
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
โรค ซึมเศร้า คืออะไร
โรคซึมเศร้า (Depression) เป็นความผิดปกติทางจิตเวชที่เมื่อเป็นแล้วจะรู้สึกเศร้า หดหู่ หรือสิ้นหวังอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้อยากฆ่าตัวตายได้
ทั้งนี้ โรคซึมเศร้าแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ดังนี้
- โรคซึมเศร้าเมเจอร์ (Major Depression) เป็นโรคซึมเศร้าที่เมื่อเป็นแล้วจะมีอาการอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และอาการของโรคซึมเศร้าจะรบกวนการทำงาน การนอน การเรียน และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
- โรคซึมเศร้าชนิดเรื้อรัง (Persistent Depressive Disorder) เป็นโรคซึมเศร้าที่อาการรุนแรงน้อยกว่าโรคซึมเศร้าเมเจอร์ แต่เมื่อเป็นแล้วจะมีอาการยาวนานกว่า หรืออย่างน้อย 2 ปี
- โรคซึมเศร้าตอนก่อนหรือหลังคลอด (Perinatal Depression) เป็นโรคซึมเศร้าเมเจอร์ที่พบได้ในหญิงตั้งครรภ์ช่วงก่อนหรือหลังคลอด
- โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder) เป็นโรคซึมเศร้าที่จะเป็นในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี เช่น ในฤดูหนาว และสามารถหายเองได้
ในปัจจุบัน ผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทยนั้นมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต เมื่อเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2565 ระบุว่า ผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 1.35 ล้านคน และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา อยู่ที่ประมาณร้อยละ 88.33 จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด
อาการ
อาการของโรค ซึมเศร้า
อาการโดยทั่วไปของผู้ป่วยซึมเศร้า มีดังต่อไปนี้
- รู้สึกเศร้า วิตกกังวล ว่างเปล่า
- รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า มองโลกในแง่ลบ
- รู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย
- หมดความสนใจต่อกิจกรรมหรือสิ่งที่ชอบ
- เหนื่อยอ่อน หมดพลัง
- เพ่งสมาธิไม่ได้ จดจำสิ่งต่าง ๆ หรือตัดสินใจได้ยากกว่าที่เคย
- นอนหลับได้ยาก ตื่นเช้ากว่าปกติ
- ทำร้ายตัวเอง อยากตาย หรือมีความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย
- ปวดหัว ปวดท้อง ปวดตามร่างกาย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยซึมเศร้าเพศชายอาจมีอาการบางอย่างที่แตกต่างจากผู้ป่วยซึมเศร้าเพศหญิง เช่น
- ขี้โมโห หงุดหงิด ก้าวร้าว
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- ชอบทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาเสพติด
- ปลีกวิเวก ออกห่างจากสังคมและเพื่อน
สาเหตุ
สาเหตุของโรค ซึมเศร้า
ปัจจุบัน ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคซึมเศร้า แต่สันนิษฐานว่าอาจเป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
- สารเคมีในสมองเกิดความไม่สมดุล
- ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) หรือโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่แปรปรวนเมื่อมีประจำเดือน คลอดบุตร หรือเข้าสู่วัยทอง
- พันธุกรรม
- ประสบการณ์ที่เลวร้ายหรือเจ็บปวดในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต
- ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคพาร์กินสัน (Parkinson Disease)
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด และการใช้สารเสพติดเป็นประจำ
เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ
เมื่อสงสัยว่าตัวเองกำลังเป็นโรคซึมเศร้า ควรรีบไปพบคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม หากไม่สะดวกใจพูดคุยกับคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ ควรพูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวเพื่อระบายความรู้สึกต่าง ๆ เพราะอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้
ทั้งนี้ หากปล่อยโรคซึมเศร้าไว้โดยไม่รักษา จะเสี่ยงเผชิญกับปัญหาดังต่อไปนี้
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือเป็นโรคอ้วน
- โรคแพนิค
- โรคกลัวกิจกรรมทางสังคม
- การทะเลาะกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว
- ประสิทธิภาพในการเรียนหรือการทำงานที่ลดลง
- การทำร้ายตัวเอง
- การเสียชีวิต
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรค ซึมเศร้า
เมื่อไปพบคุณหมอเนื่องจากเป็นโรคซึมเศร้าหรือสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า คุณหมอจะสอบถามเกี่ยวกับอาการทางกายและทางจิต ประวัติสุขภาพ ประวัติคนในครอบครัว เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่
การรักษาโรค ซึมเศร้า
หลังวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า คุณหมอจะรักษาด้วยวิธีการต่อไปนี้
- แนะนำให้ดูแลตัวเอง ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และใช้เวลาร่วมกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว
- ให้รับประทานยาต้านเศร้า เช่น ยากลุ่มยับยั้งการเก็บกลับของสารสื่อประสาทเซโรโทนิน (Selective Serotonin Reuptake Inhibitor) อย่างเอสซิตาโลแพรม (Escitalopram) หรือไซตาโลแพรม (Citalopram) ซึ่งมักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่คุณหมอนิยมจ่ายให้คนไข้ และมีฤทธิ์เพิ่มสารสื่อประสาทเซโรโทนินในสมอง
- จิตบำบัด หรือการพูดคุยเกี่ยวกับความไม่สบายใจหรืออาการของโรคกับคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ โดยจิตบำบัดจะช่วยให้คนไข้รับมือกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้ดีกว่าเดิม และพอใจกับชีวิตของตัวเองมากขึ้น
- รักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy) เป็นการส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปในสมอง เพื่อกระตุ้นการทำงานของสารสื่อประสาทให้มีประสิทธิภาพในการรับมือกับโรคซึมเศร้าได้ดีขึ้น โดยทั่วไป คุณหมอจะเลือกรักษาด้วยวิธีนี้เมื่อยาต้านเศร้าใช้ไม่ได้ผล หรือคนไข้มีความเสี่ยงสูงที่จะฆ่าตัวตาย
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
โรคซึมเศร้าอาจป้องกันได้ ด้วยการปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง ตามคำแนะนำต่อไปนี้
- พูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องที่ไม่สบายใจ
- จัดการความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ทำกิจกรรมที่ชอบ
- ไปพบคุณหมอเมื่อสังเกตเห็นสัญญาณของโรคซึมเศร้า เพื่อลดโอกาสที่โรคซึมเศร้าจะรุนแรงขึ้น