ปลานิล เป็นอาหารเมนูโปรดของใครหลายคน เพราะไม่ว่าจะเอามาทำเป็นปลาเผา ปลาทอด หรือปลาย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บ ๆ หรือกินเป็นเมี่ยงปลาเผาก็อร่อย Hello คุณหมอ บทความนี้จึงมีข้อมูลโภชนาการของปลานิล รวมถึงความเสี่ยงที่ควรระวังเวลากินปลานิล
ข้อมูลโภชนาการของปลานิล
ปลานิล เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี โดยโปรตีนประมาณ 100 กรัม มีโปรตีน 26 กรัม และมีพลังงานเพียง 128 แคลอรี่ จึงถือว่าเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงและแคลอรี่ต่ำ นอกจากนี้ปลานิลยังมีสารอาหารมากมาย โดยปลานิลจะอุดมไปด้วยไนอะซิน (Niacin) วิตามินบี 12 ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม และโพแทสเซียม ซึ่งปลานิล 100 กรัมมีสารอาหารดังต่อไปนี้
- โปรตีน 26 กรัม
- ไขมัน 3 กรัม
- ไนอะซิน 24% ของปริมาณไนอะซินที่ควรได้รับต่อวัน
- วิตามินบี 12 31% ของปริมาณวิตามินบี 12 ที่ควรได้รับต่อวัน
- ฟอสฟอรัส 20% ของปริมาณฟอสฟอรัสที่ควรได้รับต่อวัน
- ซีลีเนียม 78% ของปริมาณซีลีเนียมที่ควรได้รับต่อวัน
- โพแทสเซียม 20% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน
ปลานิลมีโอเมก้า 3 น้อยกว่าปลาแซลมอน 10 เท่า
แม้ว่า ประโยชน์ของปลานิล จะมีมากมาย ทั้งมีโปรตีนสูงและแคลอรี่ต่ำ แต่ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับไขมันที่อยู่ในปลานิล ดังนี้
ปลาถือเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาเทราท์ (trout) ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน และในความจริงแล้ว ปลาแซลมอนตามธรรมชาติ 100 กรัม มีไขมันโอเมก้า 3 มากกว่า 2,500 มิลลิกรัม
กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากช่วยลดการอักเสบ และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ แต่ข่าวร้ายคือสำหรับปลานิล มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เพียง 240 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่ามีน้อยกว่าในปลาแซลมอนถึง 10 เท่า
ปลานิล มีกรดไขมันโอเมก้า 6 มากกว่า
นอกเหนือจาก ประโยชน์ของปลานิล ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ปลานิลยังมีกรดไขมันโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 อีกด้วย ซึ่งกรดไขมันโอเมก้า 6 ยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่อย่างไรก็ตามไขมันโอเมก้า 6 ถือว่าดีต่อสุขภาพน้อยกว่า เมื่อเทียบกับไขมันโอเมก้า 3 และบางคนเชื่อว่ากรดไขมันโอเมก้า 6 อาจเป็นอันตรายและเพิ่มการอักเสบ หากบริโภคมากเกินไป
มากไปกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่า ในกรณีที่คุณต้องระวังความเสี่ยงต่อการเป็นโรค ที่เกี่ยวกับการอักเสบ เช่น โรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคปลานิล
[embed-health-tool-bmr]