backup og meta

เลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจําเดือน เกิดจากอะไร

เลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจําเดือน เกิดจากอะไร

เลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจําเดือน อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิด เนื้องอกในมดลูก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์อย่างรุนแรง อีกทั้งยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งบางชนิด ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวจึงควรแจ้งให้คุณหมอทราบ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดำเนินการรักษาอย่างเหมาะสม

[embed-health-tool-ovulation]

สาเหตุของเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจําเดือน

อาการเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจําเดือน อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

  • ยาคุมกำเนิด การรับประทานยาคุมกำเนิด อาจทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจำเดือน เนื่องจากยาคุมกำเนิดอาจส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกและหลอดเลือดหนาขึ้นหรือบางลง และอาจส่งผลให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด
  • วัยหมดประจำเดือน อาจทำให้ระดับฮอร์โมนเพศแปรปรวน ส่งผลให้การผลิตสารหล่อลื่นในช่องคลอดลดลง นำไปสู่อาการช่องคลอดแห้ง ระคายเคืองและเลือดออกจากช่องคลอด
  • การตั้งครรภ์ เมื่อตัวอ่อนฝังตัวในผนังมดลูกอาจส่งผลให้มีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อย เรียกว่าเลือดล้างหน้าเด็ก อย่างไรก็ตาม หากสังเกตว่ามีอาการปวดท้องรุนแรง และมีเลือดไหลมาก อาจเป็นสัญญาณของการแท้งบุตรและการตั้งครรภ์นอกมดลูก ควรเข้าพบคุณหมอทันที
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในเทียม หูดหงอนไก่ เริม ที่อาจทำให้ช่องคลอดและปากมดลูกอักเสบ จนมีเลือดออกทางช่องคลอด และอาจส่งผลให้เกิดอาการรุนแรง การแพร่กระจายหรือภาวะแทรกซ้อนได้หากไม่รีบรักษา
  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างรุนแรง และการมีเพศสัมพันธ์บ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดแผลในช่องคลอด ส่งผลให้มีเลือดออกทางช่องคลอดและอาจมีอาการเจ็บแสบขณะปัสสาวะหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วยได้
  • ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) อาจเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดถุงน้ำขนาดเล็กในรังไข่จำนวนมาก และอาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น สิวขึ้น ประจำเดือนขาด มีขนบริเวณหน้าอก หน้าท้อง และหลัง ศีรษะล้าน มีบุตรยาก และมีเลือดออกจากช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจำเดือน
  • มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งท่อนำไข่ ที่มักพบในผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป อาจส่งผลให้มีเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจำเดือนได้

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจำเดือน เช่น การใส่ผ้าอนามัยแบบสอดนานเกินไปโดยไม่ได้เปลี่ยนโรคตับ โรคไต เนื้องอกในมดลูก การไม่เปลี่ยนห่วงอนามัยหรือวงแหวนคุมกำเนิดตามกำหนด การแท้งบุตร ผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดมดลูก การถูกล่วงละเมิดทางเพศ โรควอนวิลลิแบรนด์ (Von Willebrand Disease) ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ และภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด

อาการผิดปกติที่ควรพบคุณหมอ

อาการผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากการมีเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจำเดือน อาจมีดังนี้

  • มีเลือดออกทางช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือนนานกว่า 7 วัน
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดท้องน้อย
  • มีไข้
  • วิงเวียนศีรษะ
  • ผิวซีด
  • เป็นลมบ่อยครั้ง
  • อ่อนเพลียเหนื่อยล้า

ควรทำอย่างไร เมื่อมีเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจําเดือน

เมื่อมีเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจําเดือน ควรเข้ารับการตรวจภายในเพื่อวินิจฉัยสาเหตุของโรค โดยคุณหมออาจเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อในช่องคลอดไปตรวจ อัลตราซาวด์ภายในช่องคลอด ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทดสอบการตั้งครรภ์ ตรวจคัดกรองมะเร็ง รวมถึงอาจส่องกล้องตรวจในช่องคลอด เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดและทำการรักษาอย่างเหมาะสม

การรักษาอาการเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด ไม่ใช่ประจำเดือน

การรักษาอาการเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจำเดือน อาจทำได้ดังนี้

  • สำหรับผู้ที่มีเลือดออกจากช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจำเดือนเนื่องจากยาคุมกำเนิด คุณหมออาจให้หยุดการคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด ห่วงคุมกำเนิด เพื่อปรับความสมดุลของฮอร์โมนให้กลับมาเป็นปกติ โดยอาจให้เปลี่ยนไปใช้การคุมกำเนิดด้วยการสวมถุงยางอนามัยแทน
  • สำหรับผู้ที่มีเลือดออกจากช่องคลอด สีแดงสด แต่ไม่ใช่ประจำเดือนเพราะวัยหมดประจำเดือน คุณหมออาจรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อปรับความสมดุลของฮอร์โมนเพศ ช่วยบรรเทาอาการช่องคลอดแห้งและระคายเคือง ซึ่งอาจช่วยป้องกันไม่ให้มีเลือดออกทางช่องคลอดได้
  • สำหรับผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในเทียม หนองในแท้ เริม หูดหงอนไก่ อาจรักษาตามโรคที่เป็น เช่น ยาปฏิชีวนะ ที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และยาต้านไวรัสที่อาจช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการแพร่ระบาดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์อย่างรุนแรงและมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง ควรงดกิจกรรมทางเพศหรือลดความถี่การมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์อย่างรุนแรง
  • สำหรับผู้ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ หากต้องการตั้งครรภ์ ควรรับประทานยาที่ทำให้ไข่ตก เช่น โคลมีฟีน ไซเตรท (Clomiphene  citrate) โกนาโดโทรฟิน (Gonadotrophin) แต่หากไม่ต้องการตั้งครรภ์อาจใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับฮอร์โมนให้สมดุล นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายเป็นประจำและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพร่วมด้วย
  • สำหรับผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งรังไข่ อาจรักษาโดยการฉายรังสี ทำเคมีบำบัด ผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง หรืออาจใช้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

vaginal bleeding. https://www.mayoclinic.org/symptoms/vaginal-bleeding/basics/causes/sym-20050756.Accessed September 23, 2022

Spotting Between Periods. https://www.webmd.com/women/spotting-between-periods.Accessed September 23, 2022

Vaginal Bleeding. https://medlineplus.gov/vaginalbleeding.html.Accessed September 23, 2022

What causes bleeding between periods?. https://www.nhs.uk/common-health-questions/womens-health/what-causes-bleeding-between-periods/.Accessed September 23, 2022

Vaginal or uterine bleeding. https://medlineplus.gov/ency/article/007496.htm.Accessed September 23, 2022

เวอร์ชันปัจจุบัน

26/02/2024

เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง

อัปเดตโดย: พลอย วงษ์วิไล


บทความที่เกี่ยวข้อง

ติดเชื้อ แบคทีเรียในช่องคลอด เกิดจากอะไร ต้องรักษาและดูแลอย่างไร

เชื้อราในช่องคลอด เรื้อรัง สาเหตุ อาการ และการรักษา


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง

สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 26/02/2024

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา