แปลงเพศ จากชายเป็นหญิง เป็นการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพจากชายไปสู่หญิง โดยมักใช้วิธี ผ่าตัดอวัยวะเพศ รวมทั้งการใช้ฮอร์โมนเพศหญิงเพื่อปรับสภาพร่างกายร่วมด้วย ทั้งนี้ การแปลงเพศไม่สามารถทำให้ ผู้ที่ได้รับการแปลงเพศกลายเป็นเพศตรงข้ามได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และยังมีความเสี่ยงที่ควรระวัง เช่น ผลข้างเคียง จากการใช้ฮอร์โมนในระยะยาว ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด และการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด
ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
การแปลงเพศมีขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ละบุคคลอาจจะได้รับการวินิจฉัยและวางแผนการแปลงเพศที่แตกต่างกันออกไป โดยปกติการแปลงเพศจากชายไปเป็นหญิงมีขั้นตอน ดังนี้
1. ก่อนผ่าตัดและการคัดกรองโรค
เมื่อบุคคลแสดงความประสงค์จะแปลงเพศกับสถานพยาบาลแห่งใดแห่งใดหนึ่ง มักถูกซักประวัติเป็นอันดับแรก เพื่อตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะแปลงเพศ โดยเกณฑ์พิจารณาหลัก ๆ มีดังนี้
- อายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ (ในกรณีอายุ 18 ปีหรือยังไม่ถึง 20 ปี จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง)
- ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความทุกข์ใจในเพศสภาพ (Gender dysphoria) ซึ่งเป็นความไม่พอใจที่เพศวิถีของตัวเองไม่ตรงกับเพศโดยกำเนิด
- รู้ตัวว่าอยากเป็นผู้หญิงมานานแล้ว หรือใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงข้ามเพศมาเกิน 1 ปี
- มีใบรับรองจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 คน
- ใช้ฮอร์โมนเพศหญิงมานานเกิน 1 ปี
นอกจากนี้ ยังต้องเข้ารับการตรวจโรคเพื่อยืนยันว่าร่างกายเหมาะสมสำหรับการผ่าตัด โดยโรคหรือภาวะผิดปกติต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจและการวินิจฉัยของคุณหมอ เช่น
- โรคมะเร็ง
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- โรคไตชนิดรุนแรง
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- โรคไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบหรือผนังหน้าท้อง
- ภาวะอัณฑะค้างอยู่ในช่องท้อง
- ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ
- โรคจิตเภท
ในกรณีที่คุณหมออนุญาตให้ผ่าตัดแปลงเพศได้ จำเป็นต้องหยุดการใช้ฮอร์โมนอย่างน้อย 1 เดือนก่อนผ่าตัดเพราะอาจทำให้ลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดดำขณะผ่าตัดได้ และงดสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด เพราะบุหรี่อาจทำให้แผลหายช้า เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนังหดตัวและผิวหนังขาดออกซิเจน
2. กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศ
การแปลงเพศจากชายไปเป็นหญิงจำเป็นต้องสร้างช่องคลอดเทียมเพื่อใช้ร่วมเพศหรือปัสสาวะ การปรับแนวท่อปัสสาวะให้ไหลลงด้านล่าง และการสร้างจุดสัมผัสทางเพศหรือคลิตอริส โดยปกติการผ่าตัดใช้เวลาราว 4-6 ชั่วโมง เริ่มต้นโดยให้คนไข้ดมยาสลบและให้ยาชาผ่านกระดูกสันหลัง โดยวิธีแปลงเพศที่พบทั่วไป คือการผ่าตัดสร้างช่องคลอดจากผิวหนังองคชาต โดยมีขั้นตอนดังนี้
- คุณหมอจะสร้างช่องคลอดใหม่ โดยกรีดผิวหนังระหว่างถุงอัณฑะกับทวารหนัก
- คุณหมอจะเลาะช่วงล่างคนไข้เป็นโพรง เข้าไปจนใกล้กับเยื่อบุช่องท้อง
- คุณหมอจะดันผิวหนังองคชาตเข้าไปในช่องคลอดที่เลาะไว้ ทั้งนี้ ในกรณีหนังองคชาตไม่พอ เนื่องจากช่องคลอดลึก คุณหมออาจใช้ผิวหนังจากส่วนอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงอัณฑะ หน้าท้อง ขาหนีบ
- คุณหมอเย็บปิดผิวหนังโดยรอบ
- คุณหมอจะเจาะรูปัสสาวะ และตกแต่ง ส่วนที่ผ่าตัดให้เหมือนของผู้หญิง คือมีคลิตอริส แคมนอก แคมใน โดยเส้นประสาทเพื่อรับความรู้สึกจะถูกเก็บไว้บริเวณคลิตอริส แคมใน และรอบ ๆ ท่อปัสสาวะ
- เพื่อไม่ให้ช่องคลอดตีบ หลังผ่าตัดเสร็จ คุณหมออาจสอดผ้าก๊อซไว้ข้างใน
-
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด
เมื่อการผ่าตัดแปลงเพศเสร็จแล้ว คุณหมอจะแนะนำวิธีการดูแลตัวเอง ดังนี้
- พักรักษาตัวที่สถานพยาบาล ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศจะพักอยู่ที่สถานพยาบาลเป็นเวลาประมาณ 4-6 วัน ตามข้อกำหนดของแต่ละแห่ง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้
- งดรับประทานอาหารซึ่งทำให้เกิดการขับถ่าย ในช่วง 2-3 วันแรก เช่น ผัก ผลไม้ นมเปรี้ยว เพื่อลดโอกาสขับถ่าย เนื่องจากแผลอาจปนเปื้อนอุจจาระและติดเชื้อได้
- ขยายช่องคลอด หรือการแยงโม (Vaginal Dilation ) ด้วยแท่งขยายช่องคลอดเพื่อไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน โดยในปีแรกจำเป็นต้องทำทุกวัน
- ไม่นั่งยอง ๆ จนกว่าแผลผ่าตัดจะหายสนิท เนื่องจากกอาจทำให้แผลปริแยกได้ โดยแผลจะหายสนิทภายในประมาณ 2 เดือน
- ทำความสะอาดแผลทุกวัน จนกว่าแผลภายนอกร่างกายและภายในช่องคลอดจะหายดี
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เช่น ปั่นจักรยานหรือวิ่งจ๊อกกิ้ง เป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
- ควรรีบไปพบคุณหมอ เมื่อพบอาการผิดปกติอย่าง ปัสสาวะแสบ ช่องคลอดหด แผลปริ
- รับประทานฮอร์โมนสม่ำเสมอ เพื่อคงลักษณะความเป็นหญิง โดยหญิงข้ามเพศอาจรับประทานฮอร์โมนต่อได้หลังจากผ่าตัดไปแล้ว 1 เดือน
ความเสี่ยงของการแปลงเพศผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศจำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ทั้งโรคแทรกซ้อนหรือภาวะสุขภาพอื่น ๆ โดยเฉพาะระหว่างหรือหลังผ่าตัดแปลงเพศ รวมทั้งผลข้างเคียงจากการใช้ยาฮอร์โมน
ความเสี่ยงจากการผ่าตัดแปลงเพศ
ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ อาจพบความเสี่ยง ดังนี้
- แผลผ่าตัดแยก โดยเฉพาะหากมีการออกกำลังกายหรือขยับตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วงแรกอาจจำเป็นต้องค่อย ๆ เดิน ไม่ยกของหนัก หรือเคลื่อนไหวร่างกายช้า ๆ
- ความเสียหายต่อระบบประสาท เนื่องจากการผ่าตัด เช่น ภาวะความรู้สึกน้อยเกิน (Hypoesthesia) หรือการมีความรู้สึกน้อยลงหรือด้านชา ณ ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เมื่อถูกสัมผัสหรือได้รับแรงสั่นสะเทือน
- แผลสมานตัวช้า
- การติดเชื้อต่าง ๆ อันเป็นความเสี่ยงโดยทั่วไปของการผ่าตัดทุกประเภท
- ท่อปัสสาวะตีบหรืออุดตัน
- เลือดคั่งใต้แผลผ่าตัด
- ช่องคลอดตีบ โดยมักเกิดในกรณีไม่ใช้แท่งขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ
ความเสี่ยงจากการใช้ฮอร์โมน
ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดแปลงเพศ คนไข้จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อปรับลักษณะทางกายภาพให้เข้ากับเพศสภาพ ไม่ว่าจะเป็นการมีเสียงแหลมสูง การเพิ่มขนาดเต้านม การลดปริมาณขนบนร่างกาย ทั้งนี้ อาจส่งผลกระทบให้เกิดผลข้างเคียงหรือโรคแทรกซ้อนได้หากใช้ฮอร์โมนในระยะยาว ดังนี้
- ความดันเลือดต่ำหรือสูง
- โรคหัวใจ
- โรคมะเร็ง
- การทำงานของตับผิดปกติ
- หลอดเลือดดำอุดตัน
- ฮีโมโกลบินที่เพิ่มขึ้น