โรคเก๊าท์ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยมีสาเหตุมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ทำให้บางคนอาจมีข้อสงสัยว่า โรคเก๊าท์ อาการ เป็นอย่างไร โดยทั่วไป โรคเก๊าท์อาจทำให้มีอาการปวดข้อต่อรุนแรง ความรู้สึกไม่สบาย ข้อต่ออักเสบ แดง และข้อต่อเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด การรักษาอย่างเหมาะสมจึงอาจช่วยบรรเทาอาการจากโรคเก๊าท์ได้
[embed-health-tool-heart-rate]
โรคเก๊าท์ คืออะไร
โรคเก๊าท์ คือ โรคข้ออักเสบที่เกิดการสะสมของกรดยูริกในเลือดสูง ส่งผลให้มีอาการปวด บวม แดง และอาจมีอากการเจ็บปวดอย่างเฉียบพลันหรือรุนแรงเมื่อกดข้อต่อหนึ่งข้อหรือหลายข้อ แต่ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเข่า ข้อเท้า เท้า ข้อมือ และข้อศอก
โรคเก๊าท์ อาการ
สัญญาณและอาการของโรคเก๊าท์มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และมักเกิดขึ้นในตอนกลางคืน โดยอาจทำให้มีอาการต่อไปนี้
- ปวดข้ออย่างเฉียบพลันและรุนแรง อาการปวดข้อต่อจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรงที่สุดภายใน 4-12 ชั่วโมงแรกหลังจากเริ่มมีอาการปวด
- รู้สึกไม่สบายบริเวณข้อต่อ เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงค่อย ๆ บรรเทาลง อาจยังคงมีความรู้สึกไม่สบายบริเวณข้อต่ออยู่ ซึ่งอาจคงอยู่ได้ตั้งแต่ 2-3 วัน ไปจนถึง 2-3 สัปดาห์
- อักเสบ บวม และแดง ข้อต่อที่อักเสบจะมีอาการบวม เจ็บปวด ไวต่อความรู้สึก อุ่น และแดง
- ข้อต่อเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด ในขณะที่โรคเก๊าท์อาการเริบอาจจะไม่สามารถขยับข้อต่อได้อย่างอิสระ
หากมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรง มีไข้ อักเสบ และแสบร้อน ควรรีบเข้าพบคุณหมอเพื่อรักษาโรคเก๊าท์ รวมถึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บและความเสียหายของข้อต่อ
ปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์
แม้ว่าโรคเก๊าท์จะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มักพบได้บ่อยในผู้ชายและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากร่างกายมีการสะสมกรดยูริกในเลือดได้ง่าย นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัจจัยต่อไปนี้อาจมีแนวโน้มที่จะมีกรดยูริกในเลือดสูงได้เช่นกัน
- ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเก๊าท์
- โรคอ้วน น้ำหนักเกิน
- ภาวะหัวใจล้มเหลว
- โรคเบาหวาน
- ความดันโลหิตสูง
- โรคไต
- ผู้ที่บริโภคอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์สูง
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาความดันโลหิต ยาเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta Blockers)
การป้องกันโรคเก๊าท์
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางประการอาจช่วยป้องกันโรคเก๊าท์ได้ ดังนี้
- การดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 2-3 ลิตร/วัน เพื่อช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้นและป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเพิ่มของน้ำหนักและโรคอ้วน ที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเพิ่มกรดยูริกในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ข้อต่อเกิดการอักเสบ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบางชนิดที่อาจเพิ่มปริมาณสารพิวรีน (Purine) ในร่างกาย เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื้อแดง เครื่องใน หอย เครื่องดื่มและอาหารที่มีฟรุกโตสสูง โปรตีนจากสัตว์ เนื่องจากสารเคมีชนิดนี้อาจกระตุ้นการสร้างกรดยูริกในร่างกายให้มากขึ้น
- หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้ระดับกรดยูริกในร่างกายสูงขึ้น เช่น ยาขับปัสสาวะ สารก่อภูมิแพ้ ยากดภูมิคุ้มกัน