วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน ทำหน้าที่ในการปกป้องไม่ให้เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายถูกทำลาย ช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคเรื้อรังชนิดต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ และยังมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณอีกด้วย ซึ่งโชคดีมาก ที่เราสามารถจะพบวิตามินอีได้ในอาหารที่เรารับประทานกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ วันนี้ Hello คุณหมอ จะพามารู้จักกับอาหารให้วิตามินอีสูงที่คุณสามารถจะ เพิ่มวิตามินอี ได้ง่าย ๆ แบบไม่ต้องเสียเงินซื้ออาหารเสริม หรือยาบำรุง
เพิ่มวิตามินอี ด้วยอาหารใกล้ตัวที่มีวิตามินอีสูงมาก
น้ำมันจากพืช
น้ำมันที่สกัดจากพืชให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย รวมถึงมีระดับของวิตามินอีที่สูงมาก ๆ ด้วย ได้แก่
- น้ำมันจมูกข้าวสาลี มีปริมาณวิตามินอีสูงสุดถึง 139 มิลลิกรัม (หากรับประทานในปริมาณ 100 มิลลิกรัม)
- น้ำมันเฮเซลนัท มีปริมาณวิตามินอีสูงสุดถึง 47 มิลลิกรัม (หากรับประทานในปริมาณ 100 มิลลิกรัม)
- น้ำมันเมล็ดทานตะวัน มีปริมาณวิตามินอีสูงสุดถึง 41 มิลลิกรัม (หากรับประทานในปริมาณ 100 มิลลิกรัม)
- น้ำมันอัลมอนด์ มีปริมาณวิตามินอีสูงสุดถึง 39 มิลลิกรัม (หากรับประทานในปริมาณ 100 มิลลิกรัม)
แกะเพลิน กินเพลิน ต้องยกให้เมล็ดทานตะวัน ไม่ว่าจะแกะกินตอนดูหนัง หรือตอนนั่งเมาท์กับเพื่อน ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ เพราะเมล็ดทานตะวันนั้นมีวิตามินอีสูงถึง 35 มิลลิกรัม (หากรับประทานในปริมาณ 100 มิลลิกรัม)
อัลมอนด์
สุดยอดอาหารประเภทถั่วที่ขึ้นชื่อว่าดีต่อสุขภาพในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งยังสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำนมที่ให้คุณประโยชน์สูงไม่แพ้นมวัวเลยทีเดียว ในอัลมอนด์นั้นยังมีปริมาณของวิตามินอีสูงมากถึง 26 มิลลิกรัม (หากรับประทานในปริมาณ 100 กรัม)
นอกจากนี้ยังสามารถพบวิตามินอีได้ในผลไม้ทั่ว ๆ ไป อย่างเช่น อะโวคาโด กีวี มะม่วง ผลไม้ตระกูลเบอรี่ มะกอก ถั่วลิสง รวมถึงผักต่าง ๆ เช่น พริกหวานสีแดง เทอร์นิพ (Turnip Greens) บร็อคโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง และยังพบได้ในเนื้อสัตว์ เช่น หอยเป๋าฮื้อ ปลาเรนโบว์เทราต์ (Rainbow Trout) ปลาหิมะ เนื้อแกะ ปลาหมึก รวมถึงไข่ปลาด้วย
ในแต่ละวันควรได้รับวิตามินอีที่ปริมาณเท่าใด
สำหรับระดับของวิตามินอี ที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญนั้น แบ่งออกได้ตามช่วงอายุ ดังนี้
- เด็กแรกเกิด – อายุ 6 เดือน ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 4 มิลลิกรัม
- อายุ 7-12 เดือน ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 5 มิลลิกรัม
- เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 6 มิลลิกรัม
- เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 7 มิลลิกรัม
- เด็กอายุ 9-13 ปี ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 11 มิลลิกรัม
- วัยรุ่นอายุ 14-18 ปี ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 15 มิลลิกรัม
- ผู้ใหญ่ ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 15 มิลลิกรัม
- สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 15 มิลลิกรัม
- สตรีที่กำลังให้นมบุตร ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณ 19 มิลลิกรัม
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าได้รับวิตามินอีไม่เพียงพอ
หากร่างกายของเรามีระดับของวิตามินอีที่ไม่เพียงพอล่ะก็ คุณกำลังจะพบกับปัญหาของการขาดวิตามินอี และเพราะการขาดวิตามินอีนี่เองที่จะทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคโครห์น (Crohn’s Disease) โรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ รวมถึงมีผลต่อระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมอาหารด้วย ทั้งยังเสี่ยงต่อการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และที่สำคัญก็คือ อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากวิตามินอีทำหน้าที่ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลาย ดังนั้นแล้วจึงควรรับประทานวิตามินอีในระดับที่เพียงพอและเหมาะสมกับร่างกาย เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณเอง
[embed-health-tool-bmr]