ปัจจุบันโควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลก ได้กลายพันธุ์ออกเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น อัลฟา (Alpha) เบตา (Beta) แกมมา (Gamma) เดลตา (Delta) แต่ล่าสุดเมื่อ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ของแอฟริกาใต้พบ Omicron (โอไมครอน หรือ โอมิครอน) ซึ่งเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกา และเริ่มแพร่ระบาดไปยังประเทศอื่น ๆ ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุถึงความรุนแรงของอาการ และประสิทธิภาพของวัคซีนต่อโควิด-19 สายพันธุ์นี้ได้ จึงแนะนำให้ทุกประเทศเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ให้ดี
ทำความรู้จักโควิด-19 สายพันธุ์ Omicron
Omicron (โอไมครอน หรือ โอมิครอน) คือ เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองและเฝ้าระวังเป็นอย่างมากถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศแอฟริกา จากนั้นไม่นานก็ถูกพบอีกที่ประเทศฮ่องกง เบลเยี่ยม และอิสราเอล ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ร่วมประชุมเพื่อประเมินตัวแปรของไวรัส และได้ ยืนยันว่า Omicron เป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีตัวแปร B.1.1.529 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ใหม่ที่น่ากังวล ชนิดที่ 5 ถัดจากสายพันธุ์อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา
ขณะนี้นักวิจัยยังคงตรวจสอบถึงตัวแปรไวรัสว่า สามารถแพร่กระจายได้ง่ายหรือไม่ ก่อให้เกิดอาการรุนแรงหรือไม่ และสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนได้หรือไม่ แต่จากหลักฐานเบื้องต้นพบว่า Omicron อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับตัวแปรไวรัสสายพันธุ์อื่น
ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมและการรับมือโรคระบาดของแอฟริกาใต้กล่าวว่า Omicron มีการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง โปรตีนส่วนหนามของไวรัส 32 ตำแหน่ง และการกลายพันธุ์ส่วนที่เป็นตัวจับเซลล์ในร่างกาย 10 ตำแหน่ง
ปัจจุบันนักวิจัยเร่งดำเนินการตรวจหา S gene target failure ซึ่งเป็นยีนที่สร้างโปรตีนส่วนหนามของไวรัส ด้วยวิธี RT-PCR เกือบทุกพื้นที่ในประเทศแอฟริกา อีกทั้งองค์การอนามัยโลกยังแนะนำให้ใช้วิธีดังกล่าวตรวจหาเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หากผลลัพธ์พบว่ายีนส่วนหนามขาดหายไป ให้คาดการณ์ว่าอาจเป็นสายพันธ์ Omicron และส่งตัวอย่างการทดสอบไปถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อยืนยันสายพันธ์ุในลำดับถัดไป
แต่ขณะเดียวกัน ชุดตรวจ PCR บางยี่ห้ออาจไม่สามารถตรวจจับได้เพราะเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ไปมาก ดังนั้น หน่วยงานที่รับตรวจโควิด-19 จึงควรระมัดระวังในการเลือกชุดตรวจโควิด-19 ให้เหมาะสมและได้มาตรฐาน
ในระหว่างการรอยืนยันการทดสอบประเมินตัวแปรที่แน่ชัด องค์การอนามัยโลกจึงขอความร่วมมือให้ทุกประเทศดำเนินการควบคุมป้องกันการแพร่กระจาย ดังต่อไปนี้
- กำหนดมาตรการการเฝ้าระวัง
- ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังหน่วยงานที่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะชนให้รับทราบ
- ประเมินผลและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่กระจาย Omicron ของผู้ติดเชื้อเบื้องต้น ว่า วัคซีนโควิด-19 ที่มีอยู่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน Omicron หรือไม่ จากการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการของแต่ละประเทศ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลให้เกิดความเข้าใจที่อาจตรงกัน
วัคซีนโควิด-19 กับ Omicron
เนื่องจาก Omicron เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีตัวแปรไม่ชัดเจนและจัดอยู่ในกลุ่มน่ากังวล ซึ่งอาจต้านแอนติบอดีในร่างกาย และลดประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงไม่อาจบอกได้ว่าวัคซีนชนิดใดจะเหมาะสำหรับไวรัส Omicron มากที่สุด บริษัทผลิตวัคซีนส่วนใหญ่อยู่ในช่วงดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีน
บริษัทผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) เผยว่า ขณะนี้ทางบริษัทกำลังดำเนินการวิจัยในบอตสวานาซึ่ง เป็นเขตที่พบ Omicron เพื่อหาข้อมูลไวรัสและนำไปเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพของวัคซีน อีกทั้ง ทางบริษัทได้นำยาแอนติบอดี AZD7442 เข้าร่วมการทดสอบใช้กับโควิด-19 สายพันธุ์ Omicron
นอกจากนี้ บริษัทวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) กล่าวว่า ทางบริษัทอาจจำเป็นต้องผลิตวัคซีนชนิดใหม่ หรือปรับสูตรเพื่อต้านไวรัส Omicron ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ภายในปี พ.ศ. 2565 2022 สำหรับบริษัทวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) และจอห์น สัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) กำลังอยู่ในช่วงตรวจสอบประสิทธิภาพของวัคซีนเช่นเดียวกัน
การดูแลตัวเองเบื้องต้นจาก Omicron
องค์การอนามัยโลกให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของโควิด-19 ดังนี้
- รักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร
- สวมใส่หน้ากากอนามัย
- หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมากและแออัด
- พยายามอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศได้ดี
- หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- ไอหรือ จามใส่ข้อศอกตนเอง
- ฉีดวัคซีนโควิด-19