น้ำตาล เป็นแหล่งพลังงานหลักที่สำคัญของร่างกาย แต่หากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน สำหรับคำถามที่ว่าระดับ น้ำตาลในเลือดปกติควรอยู่ที่เท่าไร ? อาจขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ ดังนั้น จึงควรศึกษาวิธีการตรวจและแปลผลเบื้องต้น เพื่อเป็นข้อมูลให้ทราบว่าตนเองกำลังเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานอยู่หรือไม่
[embed-health-tool-bmi]
ทำไมจึงควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ทราบว่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ เพราะหากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ใจสั่น มือสั่น ตาลาย หากมีรุนเเรงอาจมีอาการชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้ แต่หากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ภาวะเลือดเป็นกรด (Ketoacidosis) รวมถึงเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม และตามัวจากเบาหวานขึ้นตาได้
นอกจากนี้ การตรวจน้ำตาลระดับในเลือดยังเป็นการติดตามผลการรักษาในผู้ป่วยเบาหวาน ว่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำตาลได้ดีหรือไม่เพียงใด
ระดับน้ำตาลในเลือดปกติอยู่ที่เท่าไร
การแปลผลค่าน้ำตาลในเลือดจะต่างกันตามวิธีการตรวจ ดังนี้
- ระดับน้ำตาลในเลือดที่ทำการตรวจหลังงดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงแล้ว ไม่เกิน 99 มิลลิกรัม/เดซิลิตรถือว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- การตรวจความทนทานต่อน้ำตาล OGTT โดยเป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอีกวิธีหนึ่งซึ่งจะต้องงดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงเช่นกัน เเล้วทำเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลหลังดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัมหากระดับน้ำตาลหลังดื่มสารละลายกลูโคสไปเเล้วเป็นเวลา 2 ชั่วโมงมีค่าน้อยกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แสดงถึงร่างกายมีว่ามีความทนทานต่อน้ำตาลปกติ
ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติอยู่ที่เท่าไร
ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ค่าน้ำตาลในเลือดต่ำ
ในบุคคลทั่วไป หากมีค่าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 55 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือ ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานแล้วมีค่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะถือว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอดอาหารเป็นเวลานาน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ภาวะพร่องฮอร์โมนต่อมหมวกไต การใช้ยาลดระดับน้ำตาลในขนาดสูงไป มีภาวะโรคไต โรคตับอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการดังนี้ห
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เหงื่อออกมาก
- วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อ่อนเพลียง่าย เหนื่อยล้า
- อ่อนเเรงแขน-ขา เดินเซ
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด วิตกกังวล
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง พูดไม่ชัด ไม่มีสมาธิ
- อาการชัก และหมดสติ
ค่าน้ำตาลในเลือดสูง
คือค่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร 8 ชั่วโมงสูงตั้งแต่ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป หรือ หากตรวจเมื่อไม่ได้งดอาหาร (ตรวจแบบสุ่ม) เเล้วมีค่าระดับน้ำตาลสูงกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดยอาจมีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ขาดการออกกำลังกาย มีภาวะบางประการทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้การควบคุมจัดการระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกายผิดปกติ นำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งอาจทำให้มีอาการได้ดังต่อไปนี้
- ปวดศีรษะ/เวียนศีรษะ
- เหนื่อยล้าง่าย อ่อนแรง น้ำหนักลดผิดปกติ
- กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย
- ไม่มีสมาธิ
- แผลหายช้า
- ตามัว มองเห็นภาพไม่ชัดเจน
วิธีควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
วิธีควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาจทำได้ดังนี้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที หรือ 150 นาที/สัปดาห์ โดยเเนะนำให้การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ที่มีความเหนื่อยระดับกลาง เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน เพราะ นอกจากการออกกำลังกายช่วยทำให้ร่างกายเเข็งเเรงโดยรวมเเล้ว ยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทำให้สามารถจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น จึงช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นการรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ธัญพืชไม่ขัดสี ไขมันดี อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ กะหล่ำดอก คะน้า ฝรั่ง แอปเปิ้ล มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท อัลมอนด์ ถั่วลิสง ปลาทู ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและแป้งมากเกินไป เช่น ของทอด อาหารแปรรูป ของหวาน น้ำอัดลม เบียร์ ไวน์ ข้าวขาว ขนมปังขาว พาสต้า
- ลดความเครียด ด้วยการผ่อนคลาย ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกม ฟังเพลง ดูโทรทัศน์
- หมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ โดยอาจตรวจด้วยตัวเองหรือเข้ารับการตรวจสุขภาพจากคุณหมอ