การใช้วิตามินดีเป็นเวลานาน ในขนาดยาที่สูงกว่า 4,000 หน่วยต่อวัน อาจเป็นอันตราย และอาจทำให้แคลเซียมในเลือดสูงเกินไป อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องใช้ขนาดยาที่สูงขึ้น เพื่อรักษาภาวะขาดวิตามินดีในระยะสั้น การรักษาแบบนี้ควรทำภายใต้การดูแลของผู้ให้บริการด้านการแพทย์
ข้อควรระวังและคำเตือนสำหรับสภาวะอื่น ๆ
วิตามินดีมีความปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อรับประทานหรือฉีดเข้าสู่ร่างกาย แต่อาจจะไม่ปลอดภัย หากรับประทานในปริมาณที่มากในระยะยาว
โรคไต
วิตามินดีอาจเพิ่มระดับแคลเซียมและเพิ่มความเสี่ยงต่อการ “แข็งตัวของเส้นเลือดแดง” ในคนที่เป็นโรคไตอย่างร้ายแรง วิตามินดีต้องใช้ในขนาดยาที่เหมาะสม โดยอิงจากความจำเป็นในการป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นโรคกระดูกที่เกิดขึ้น เมื่อไตไม่สามารถรักษาระดับที่เหมาะสมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด ผู้ป่วยโรคไตควรได้รับการตรวจระดับแคลเซียมอย่างละเอียด
ระดับแคลเซียมในเลือดสูง
การใช้วิตามินดีอาจทำให้อาการดังกล่าวแย่ลง
การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง (Atherosclerosis)
การรับประทานวิตามินดีอาจทำให้อาการนี้แย่ลงโดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคไต
โรคซาคอยด์ (Sarcoidosis)
วิตามินดีอาจเพิ่มระดับแคลเซียมในคนที่เป็นโรคซาคอยด์ซึ่งอาจนำไปสู่นิ่วในไตและโรคอื่น ๆ ควรใช้วิตามินดีอย่างระมัดระวัง
โรคฮิสโตพลาสโมสิส (Histoplasmosis)
วิตามินดีอาจเพิ่มระดับแคลเซียมในคนที่เป็นโรคซาคอยด์ซึ่งอาจนำไปสู่นิ่วในไตและโรคอื่น ๆ ควรใช้วิตามินดีอย่างระมัดระวัง
ภาวะมีฮอร์โมนพาราไทรอยด์มากเกินไป (hyperparathyroidism)
วิตามินดีอาจเพิ่มระดับแคลเซียมในผู้ที่มีฮอร์โมนพาราไทรอยด์มากเกินไป ควรใช้วิตามินดีอย่างระมัดระวัง
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
วิตามินดีอาจเพิ่มระดับแคลเซียมในคนที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งอาจนำไปสู่นิ่วในไตและโรคอื่น ๆ ควรใช้วิตามินดีอย่างระมัดระวัง
วัณโรค
วิตามินดีอาจเพิ่มระดับแคลเซียมในคนที่เป็นวัณโรค นี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น นิ่วในไต
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้วิตามินดี
ผลข้างเคียงบางอย่างของการใช้วิตามินดีมากเกินไป ได้แก่ อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ง่วงซึม ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ปากแห้ง รู้สึกฝาดในปาก คลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีอาการอื่น ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
วิตามินดีอาจทำปฏิกิริยากับยาหรือโรคของคุณ ปรึกษากับแพทย์ก่อนใช้
ยาหรือสารที่อาจทำปฏิกิริยากับวิตามินดี ได้แก่
ส่วนมากอะลูมิเนียมพบได้ในยาลดกรด วิตามินดีอาจเพิ่มปริมาณอลูมิเนียมที่ร่างกายดูดซึมได้ ปฏิกิริยานี้อาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต ให้ใช้วิตามินดี 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมงหลังจากใช้ยาลดกรด
- ยาแคลซิโพไทรอีน (Calcipotriene) อย่างเช่นยาโดโวเน็กซ์ (Dovonex)
ยาแคลซิโพไทรอีนเป็นยาที่คล้ายกับวิตามินดี การใช้วิตามินดีร่วมกับยาแคลซิโพไทรอีน (ยาโดโวเน็กซ์) อาจเพิ่มฤทธิ์และผลข้างเคียงของยาแคลซิโพไทรอีน (ยาโดโวเน็กซ์) หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมวิตามินดี หากคุณรับประทานยานี้
- ยาไดจอกซิน (Digoxin) อย่างเช่นยาลาโนซิน (Lanoxin)
วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม แคลเซียมอาจส่งผลต่อหัวใจ ยาไดจอกซิน (ยาลาโนซิน) ใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้หัวใจการใช้วิตามินดีร่วมกับยาไดจอกซิน (ยาลาโนซิน) อาจเพิ่มฤทธิ์ของยาไดจอกซิน (ยาลาโนซิน) และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ถ้าคุณกำลังใช้ยาไดจอกซิน (ยาลาโนซิน) ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะใช้วิตามินดีเสริม
- ยาดิลเทียเซม (Diltiazem) อย่างเช่น ยาคาร์ดิเซม (Cardizem) ยาดิลาคอร์ (Dilacor) และยาเทียแซค (Tiazac)
วิตามินดีช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียม แคลเซียมอาจมีผลต่อหัวใจของคุณ ยาดิลเทียเซม (ยาคาร์ดิเซม ยาดิลาคอร์ และยาเทียแซค) อาจส่งผลต่อหัวใจของคุณ การรับประทานวิตามินดีร่วมกับยาดิลเทียเซม (ยาคาร์ดิเซม ยาดิลาคอร์ และยาเทียแซค) อาจลดประสิทธิภาพของยานี้
- ยาเวราพามิล (Verapamil) อย่างเช่นยาคาลัน (Calan) ยาโคเวอรา (Covera) ยาไอซอพติน (Isoptin) และยาเวอราลัน (Verelan)
วิตามินดีช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียม แคลเซียมอาจส่งผลต่อหัวใจ ยาเวราพามิล (ยาคาลัน ยาโคเวอรา ยาไอซอพติน และยาเวอราลัน) อาจส่งผลต่อหัวใจ อย่าใช้วิตามินดีในปริมาณมาก หากคุณใช้ยาเวราพามิล (ยาคาลัน ยาโคเวอรา ยาไอซอพติน และยาเวอราลัน)
- ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอาไซด์ (Thiazide)
วิตามินดีช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียม ยาขับปัสสาวะบางชนิดช่วยเพิ่มปริมาณแคลเซียมในร่างกาย การรับประทานวิตามินดีในปริมาณมาก พร้อมกับยาขับปัสสาวะบางชนิด อาจทำให้มีแคลเซียมในร่างกายมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงรวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับไต
บางส่วนของยาขับปัสสาวะเหล่านี้ ได้แก่ ยาคลอโรไทอาไซด์ (Chlorothiazide) อย่างเช่นยาไดยูริล (Diuril) ยาไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (Hydrochlorothiazide) อย่างเช่น ยาไฮโดรไดยูริล (HydroDIURIL) และยาเอซิดริกซ์ (Esidrix) ยาอินดาพาไมด์ (Indapamide) อย่างเช่น ยาโลซอล (Lozol) ยาเมโทลาโซน (Metolazone) อย่างเช่นยาซาโรโซลีน (Zaroxolyn) และยาคลอทาลิโดน (Chlorthalidone) อย่างเช่น ยาไฮโกรตอน (Hygroton)
- ยาซิเมทิดีน (Cimetidine) อย่างเช่นยาทากาเมต (Tagamet)
ร่างกายจะเปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถใช้ได้ ยาซิเมทิดีนอาจลดประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงของวิตามินดีในร่างกายเหล่านี้ สิ่งนี้อาจลดสมรรถนะของวิตามินดี แต่ปฏิกิริยานี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับคนส่วนใหญ่
ยาเฮพารินทำให้ลือดแข็งตัวช้าลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการย่อยสลายมวลกระดูก เมื่อใช้เป็นเวลานาน ผู้ที่รับประทานยาเหล่านี้ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี
- ยาเฮพารินที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ (LMWHS)
ยาบางชนิดที่เรียกว่ายาเฮพารินที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการย่อยสลายมวลกระดูก เมื่อใช้เป็นเวลานาน คนที่รับประทานยาเหล่านี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี
ยาเหล่านี้ ได้แก่ ยาอีโนซาพาริน (Enoxaparin) อย่างเช่น ยาโลเวน็อกซ์ (Lovenox) ยาดาลเทพาริน (Dalteparin) อย่างเช่น ยาแฟรกมิน (Fragmin) และยาทินซาพาริน (Tinzaparin) อย่างเช่น ยาอินโนเฮพ (Innohep)
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยานี้
ขนาดยาทั่วไปของวิตามินดี
ขนาดยาต่อไปนี้ได้รับการศึกษาในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
การรับประทาน
- สำหรับการป้องกันโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก ใช้สำหรับผู้สูงอายุ 400-1,000 หน่วยต่อวัน ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำให้ใช้ขนาดยาที่สูงขึ้นเป็น 1,000-2,000 หน่วยต่อวัน
- สำหรับการป้องกันการหกล้ม 800-1,000 หน่วยต่อวัน ใช้ร่วมกับแคลเซียม 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
- สำหรับการป้องกันโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis หรือ MS) การใช้ยาในระยะยาวอย่างน้อย 400 หน่วยต่อวัน ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของวิตามินเสริม
- สำหรับการป้องกันโรคมะเร็งทุกชนิด แคลเซียม 1,400-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน บวกวิตามินดี 3 หรือคลอเลแคลซิเฟรอล (Cholecalciferol) มีการใช้แคลเซียม 1,100 หน่วยต่อวันในสตรีหลังวัยหมดประจำเดือน
- สำหรับอาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดจากยาสแตติน (Statins) วิตามินดี 2 หรือเออร์โกแคลซิเฟรอล (Ergocalciferol) หรือวิตามินดี3 หรือคลอเลแคลซิเฟรอล 50,000 หน่วยสัปดาห์ละครั้ง หรือ 400 หน่วยต่อวัน
- สำหรับป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วิตามินดี (คลอเลแคลซิเฟรอล) 1,200 หน่วยต่อวัน
อาหารเสริมวิตามินดีส่วนใหญ่มีวิตามินดีเพียง 400 หน่วย (10 ไมโครกรัม)
สถาบันแพทยศาสตร์แห่งสหรัฐ (IOM) เผยแพร่ข้อมูลปริมาณสารอาหารที่แนะนำรายวัน (RDA) ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณขนาดยาวิตามินดีที่ตรงกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ ข้อมูลแนะนำรายวันในปัจจุบันมีการจัดทำไว้ในปี 2553 ข้อมูลแนะนำรายวันแตกต่างกันไปตามอายุดังต่อไปนี้
- 1-70 ปี 600 หน่วยต่อวัน
- 71 ปีขึ้นไป 800 หน่วยต่อวัน
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร 600 หน่วยต่อวัน
- ทารกที่มีอายุ 0-12 เดือนแนะนำให้รับประทานปริมาณที่เพียงพอ (AI) คือ 400 หน่วย
บางองค์กรแนะนำขนาดยาที่มากกว่า ในปี 2551 สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐฯ ได้เพิ่มปริมาณวิตามินดีที่แนะนำต่อวันเป็น 400 หน่วยต่อวันสำหรับทารกและเด็กเล็ก รวมถึงวัยรุ่น ผู้ปกครองไม่ควรใช้วิตามินดีในรูปของเหลวที่มีปริมาณ 400 หน่วยต่อหยด การใช้วิตามินดี 1 หยดหรือ 1 มิลลิลิตร โดยไม่ได้ตั้งใจ จะส่งผลต่อปริมาณวิตามินดีเป็น 10,000 หน่วยต่อวัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ จะควบคุมให้บริษัทต่างๆ ผลิตวิตามินดีไม่เกิน 400 หน่วยต่อหยดในอนาคต
มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งสหรัฐฯ แนะนำวิตามินดี 400-800 หน่วยต่อวันสำหรับผู้ใหญ่อายุน้อยกว่า 50 ปีและ 800-1,000 หน่วยต่อวันสำหรับผู้สูงอายุ
The North American Menopause Society แนะนำให้ใช้วิตามินดี 700-800 หน่วยต่อวัน สำหรับสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี เนื่องจากไม่ค่อยได้รับแสงแดด (เช่น ไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน อยู่ในละติจูดเหนือ)
สมาคมโรคกระดูกพรุนแห่งแคนาดาแนะนำให้ใช้วิตามินดี 400 หน่วยต่อวัน สำหรับคนที่อายุไม่เกิน 50 ปี และ 800 หน่วยต่อวัน สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี สำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน แนะนำให้ใช้วิตามินดี 400-1,000 หน่วยต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี และ 800-2,000 หน่วยต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่อายุเกิน 50 ปี
สมาคมมะเร็งแห่งแคนาดาแนะนำให้ใช้ 1000 หน่วยต่อวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีระดับวิตามินดีต่ำ ควรใช้ขนาดยาดังกล่าวตลอดทั้งปี รวมถึงคนที่มีผิวคล้ำ และมักสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนัง และผู้ที่มีอายุมากกว่าหรือผู้ที่ไม่ได้ออกไปข้างนอกบ่อย
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินดี ที่ประกอบด้วยสารคลอเลแคลซิเฟรอล ซึ่งนี่ดูจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินดีในรูปแบบอื่น
ปริมาณสำหรับวิตามินดีอาจแตกต่างกันสำหรับผู้ป่วยทุกราย ปริมาณที่คุณใช้ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพ และเงื่อนไขอื่น ๆ อาหารเสริมไม่ปลอดภัยเสมอ โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสมของคุณ
รูปแบบของยา
วิตามินดีสามารถพบได้ในแหล่งดังต่อไปนี้
- พบในอาหารตามธรรมชาติ
- แคปซูล
- แคปซูลแบบนุ่ม (Softgels)
- ยาน้ำ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย