สุขภาพจิต

เมื่อพูดถึงสุขภาพโดยรวมของคน ๆ หนึ่ง จิตใจ ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าร่างกาย ปัญหาสุขภาพจิต เป็นปัญหาที่มักจะถูกมองข้าม ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับการรักษา สุขภาพจิต ให้สมบูรณ์แข็งแรง และตระหนักถึงความผิดปกติเกี่ยวกับสภาวะสุขภาพจิต จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะช่วยให้คุณและคนที่คุณรักมีความสุขมากยิ่งขึ้น

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพจิต

สุขภาพจิต เรื่องใกล้ตัว ที่ไม่ควรมองข้าม

สุขภาพจิต ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสมดุลและมีความสุข เมื่อสุขภาพจิตดี ชีวิตด้านอื่น ๆ ก็มักจะดีตามไปด้วย โดยเฉพาะสุขภาพกาย ดังนั้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิต ทั้งวิธีการดูแลสุขภาพจิตที่เหมาะสม ตลอดไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีการรับมือ จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตให้ดียิ่งขึ้น [embed-health-tool-bmi] สุขภาพจิต คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ สุขภาพจิต (Mental Health) คือ ภาวะความเป็นอยู่ทางใจ ที่มีความสัมพันธ์ต่ออารมณ์และความรู้สึก การมีสุขภาพจิตที่ดีจะช่วยให้เราเผชิญต่อความเครียดได้ สามารถเรียนรู้และทำงานได้ดี มีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ และมีส่วนร่วมกับสังคมอย่างมีคุณค่า  กรมสุขภาพจิตอธิบายไว้ว่า “สุขภาพจิตหมายถึงภาวะจิตใจที่เป็นสุข ปรับตัวแก้ปัญหาได้ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี” ซึ่งสอดคล้องกับนิยามสากลของ WHO (World Health Organization) สุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพโดยรวม การจะมีสุขภาพร่างกายที่ดีและแข็งแรง จำเป็นต้องมีสุขภาพจิตที่ดีควบคู่กัน หากละเลยการดูแลสุขภาพจิตก็อาจส่งผลกระทบต่อปัจจัยด้านอื่น ๆ ทั้งปัจจัยส่วนบุคคลอย่างสุขภาพกาย ตลอดไปจนถึงปัจจัยภายนอกอย่างการทำงานหรือการอยู่ร่วมในสังคมกับผู้อื่น ดังนั้น การดูแลสุขภาพจิตให้ดีและมั่นคงจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการใช้ชีวิตที่มีความสุข ปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อย ปัญหาสุขภาพจิตนั้นมีหลากหลายชนิดและรูปแบบ โดยปัญหาด้านสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในประเทศไทย มีดังนี้ โรคซึมเศร้า (Depression) โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ หรือการใช้ยาบางชนิด  อาการของโรคซึมเศร้าอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่ อาการเศร้าซึม ไม่มีความสุข รู้สึกว่างเปล่า […]

หมวดหมู่ สุขภาพจิต เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพจิต

ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

โรคคิดไปเองว่าป่วย (hypochondria) หมอบอกอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ คุณกำลังเป็นอยู่รึเปล่า

ในช่วงที่กำลังมีโรคระบาดอยู่แบบนี้ การกังวลว่าตัวเองอาจจะติดโรคนั้นถือถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่การวิตกจริตและปักใจเชื่อว่าตัวเองป่วยนั้น อาจจะเป็นอาการป่วยทางจิตที่เรียกว่า โรคคิดไปเองว่าป่วย อยู่ก็เป็นได้ โรคแปลกแต่จริงนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร หาคำตอบได้กับบทความนี้ โรคคิดไปเองว่าป่วย คืออะไร โรคคิดไปเองว่าป่วย (Hypochondria หรือ Illness Anxiety Disorder) โรคนี้มีลักษณะคือ ผู้ป่วยจะมีความคิดวิตกกังวลไปเองว่าตัวเองกำลังป่วยเป็นโรคที่อันตราย หรือคิดว่าตัวเองกำลังจะป่วยตาย แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้มีอาการอะไร หรือมีเพียงแค่อาการป่วยเล็กน้อยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคที่คุณคิดว่าตัวเองเป็นเลยก็ตาม และถึงแม้ว่าจะให้หมอตรวจแล้วไม่พบโรคอะไร คุณก็ยังไม่เชื่อหมออยู่ดี โรคคิดไปเองว่าป่วยนี้ เป็นสภาวะเรื้อรังที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงระดับความรุนแรงไปมา โดยอาจจะมีอาการรุนแรงมาก ในช่วงที่คุณรู้สึกเครียด หรือมีอายุเพิ่มมากขึ้น ความวิตกกังวลที่มากเกินไปนี้อาจทำให้คุณรู้สึกทรมาน อยู่ไม่เป็นสุข และสิ้นหวังในชีวิต โดยเฉพาะเมื่อหมอตรวจไม่พบโรคอะไร คุณก็จะยิ่งคิดว่าโรคของตัวเองไม่มีทางรักษา และจะต้องตายอย่างแน่นอน ความคิดเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และต้องมานั่งกังวลอยู่ตลอดเวลา สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นโรคคิดไปเองว่าป่วย เกณฑ์การวินิจฉัยโรคคิดไปเองว่าป่วยนั้นได้ถูกถอดออกจากคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตฉบับล่าสุด (DSM-5) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ อาจจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่งที่แทน อย่างไรก็ตาม การจะระบุได้ว่าเป็นโรคคิดไปเองว่าป่วยนั้น อาจสามารถสังเกตได้จากสัญญาณและอาการของโรคดังต่อไปนี้ หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าตัวเองป่วยหรือเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง วิตกกังวลกับอาการป่วย หรือความรู้สึกผิดปกติบางอย่างของร่างกาย แม้จะเล็กน้อยเพียงแค่ไหนก็ตาม ตื่นตระหนกอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ ตรวจดูความผิดปกติของร่างกายตัวเองบ่อยเกินไป ไปพบหมอเพื่อตรวจร่างกายหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่มีอาการอะไรก็ตาม ไม่เชื่อมั่นใจในผลการวินิจฉัยโรคของแพทย์ บางคนอาจจะหลีกเลี่ยง ไม่ยอมไปพบหมอเลย เพราะคิดว่าจะตรวจเจอโรคอันตราย คนบางคนอาจจะปักใจเชื่อว่าตัวเองป่วยเป็นโรคใดโรคหนึ่ง เช่น มะเร็ง ในขณะที่บางคนอาจจะเชื่อว่าตัวเองป่วยด้วยโรคต่างๆ หลายๆ โรค ในกรณีรุนแรง อาจถึงขั้นหลีกเลี่ยงผู้คน หรือหวาดกลัวการเข้าสังคม เนื่องจากกลัวว่าตัวเองจะติดโรคจากผู้อื่น ในบางครั้งการวิตกกังวลว่าจะป่วยมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการบางอย่างต่อร่างกายขึ้นมาได้จริงๆ เช่น […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

เขียนใบลาพักร้อนทันที แบบไม่ต้องแคร์ ถ้าคุณมี สัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายควรต้องพัก ดังต่อไปนี้

งานดีชีวิตดี แต่บางครั้งงานที่ดี ก็มากด้วยภาระและหน้าที่ที่จะต้องจัดการให้เรียบร้อยในทุก ๆ วัน หลายคนต้องตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กลับบ้านฟ้าก็ยังมืดเหมือนตอนที่ออกจากบ้านมาทำงาน เป็นวัฏจักรเช่นนี้อยู่นาน จนกระทั่งร่างกายเริ่มมีอาการที่ผิดปกติ สภาพจิตใจเริ่มอ่อนเพลียกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นอาจเป็น สัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายควรต้องพัก ถึงเวลาที่คุณควรจะต้องเขียนใบลาพักร้อน ไปพักกายและพักใจสักที Hello คุณหมอ จะพาไปดูกันว่ามีสัญญาณทางสุขภาพแบบใดบ้างที่คุณต้องระวัง และหันมาใส่ใจกับการพักผ่อนให้มากขึ้น ผลกระทบจากการทำงานที่มีต่อสุขภาพของคนเรา ในปัจจุบัน สภาวะความเครียดจากการทำงานเป็นปัญหาของคนทั่วทั้งโลก จากปัจจัยต่าง ๆ ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน ระบบการทำงาน ทัศนคติของเพื่อนร่วมงานและผู้บริหาร การมีภาระงานที่หนักหนาจนเกินไป รวมถึงความทุ่มเทให้กับการแก้ไขปัญหาของระบบงานและเนื้องาน และถ้าหากปัจจัยดังกล่าวไม่ได้ส่งผลให้คุณมีความรู้สึกสนุกในการทำงาน ก็ย่อมมีผลตรงกันข้ามคือทำให้รู้สึกกดดัน เครียด เพราะต้องเจอสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดีทุกวัน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบทั้งทางกายและทางใจได้ดังนี้ ผลกระทบต่อสุขภาพกาย ความเมื่อยล้า กล้ามเนื้อตึง ปวดศีรษะ หัวใจสั่น มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น นอนไม่หลับ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก หรือท้องเสีย ผลกระทบต่อสุขภาพจิต ซึมเศร้า วิตกกังวล ท้อแท้ หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ร้าย มีความรู้สึกว่าไร้ความสามารถในการจัดการกับความรู้สึกของตนเอง ไม่ค่อยมีสมาธิ ลาพักร้อนดีอย่างไร ทำไมถึงควรลาพักร้อน เมื่อถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าตนเองเริ่มไม่ไหวกับการมาทำงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ต้องการที่จะลาออก เนื่องด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพยังเป็นกรอบสำคัญที่ทำให้คุณไม่สามารถลาออกได้ การลาพักร้อน จึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้คุณได้พักตัวเองจากความเครียดและความยุ่งเหยิงทั้งหมดในที่ทำงาน และการหยุดพักชั่วคราว นอกจากจะเป็นการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าแล้ว ยังอาจจะช่วยให้คุณกลับมาสนุกและมีไฟกับการทำงานได้เหมือนเดิม ลดความเครียด อ้างอิงจาก สมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (American Psychological Association) หรือ APA กล่าวว่า การลาหยุด […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

ก่อนจะริรักใคร อย่าลืม รักตัวเอง ให้เป็นเสียก่อน

“ก่อนจะรักใคร อย่าลืมรักตัวเองให้เป็นเสียก่อน” เป็นคำกล่าวที่เราอาจจะเคยได้ยินกันมาไม่น้อย ความรักนั้นมีอยู่มากมายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มีต่อคนรัก ความรักที่มีต่อครอบครัว ความรักที่มีต่อเพื่อน ตลอดไปจนถึงความรักที่มีต่อตนเอง แต่การ รักตัวเอง นั้นเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการมีสุขภาพจิตที่ดี และการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข บทความนี้จะมาแนะนำเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้คุณฝึกรักตัวเองให้เป็น รักตัวเอง (Self-Love) เป็นอย่างไร หลายคนอาจจะคิดว่าการรักตัวเองหมายถึงการเอาแต่ใจตนเอง เห็นแก่ตัว แล้วทำอะไรโดยไม่สนใจความต้องการของคนอื่น แต่จริงๆ แล้ว การรักตัวเอง คือการรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อตนเอง เป็นการทำความเข้าใจ และยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง เพื่อให้เราสามารถมีความยืดหยุ่นต่อการเผชิญหน้ากับความผิดพลาด ความผิดหวัง เรื่องน่าอับอาย ความล้มเหลว และสามารถรับมือและฟื้นตัวเองขึ้นมาจากความล้มเหลวเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างของ การรักตัวเอง มีดังต่อไปนี้ การใจดีต่อตนเอง รู้จักยอมรับตนเอง เคารพตนเอง ให้อภัยตัวเอง และไม่กดดันตนเองมากจนเกินไป รับรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ ตระหนักว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าใครก็สามารถทำความผิดพลาดได้ และเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น มีสติ ใจเย็น รู้จักใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ มีความฉลาดทางอารมณ์ และหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำด้วยอารมณ์อันแสนเจ็บปวด ความสำคัญของการรักตัวเอง การรักตัวเอง ช่วยให้เรารู้จักการรักคนอื่นเป็น หากเราไม่สามารถเข้าใจถึง คอนเซ็ปต์ของการรักตัวเอง เราก็อาจจะไม่สามารถเข้าใจถึงความหมายในการรักคนอื่นได้ การรักตัวเองนั้นจะเริ่มจากการหันมาให้ความสำคัญกับตัวเองและใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง และเมื่อเรารู้สึกการให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นแล้ว เราก็จะสามารถหันไปให้ความสำคัญกับผู้อื่นได้เช่นกัน ผู้ที่ไม่รู้จักการรักตัวเอง อาจจะไม่ให้ความสำคัญกับตัวเอง และกดดันตัวเองมากจนเกินไป จนสุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตได้ ในสภาพสังคมที่ผู้คนต่างก็พยายามแข่งขันชิงดีชิงเด่น เรามักจะต้องพยายามมากยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพื่อให้ตรงกับความคาดหวังของครอบครัวและสังคม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เราสามารถมองเห็นความสำเร็จของผู้อื่นได้ง่ายๆ […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

สัตว์เลี้ยงบำบัด สุขภาพจิตดีขึ้นได้ ด้วยเพื่อนซี้คลายเหงาแสนรู้!

เมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเทศกาลแห่งความรัก หรือวันพิเศษใดใด เวลาเราออกไปไหนมาไหนก็คงไม่พ้นที่จะเห็นคู่รักเขาเดินจับมือกัน ถือดอกไม้ช่อโต แถมยังมีรูปคู่ไว้อัพลงโซเชียลอีกต่างหาก คนโสดอย่างเราๆ คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงาใจเป็นแน่ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังไป ยังมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่กำลังรอความรัก และพร้อมมอบความรักให้หัวใจเต้นเร็วกว่าการมีคนรักเสียอีก ลองอ่านบทความนี้ที่ Hello คุณหมอมีวิธีเพิ่มความสุขด้วย สัตว์เลี้ยงบำบัด สุดแสนน่ารักมาฝากทุกคนกัน บำบัดหัวใจให้กระชุ่มกระชวย ด้วย สัตว์เลี้ยงบำบัด สัตว์เลี้ยงบำบัด (Animal-Assisted Therapy ; AAT) คือการนำสัตว์เลี้ยงที่ผ่านการฝึกฝนแล้ว เช่น สุนัข แมว นก มาช่วยบรรเทาความเครียด และสร้างความเพลิดเพลินให้กับคุณ เป็นการปรับปรุงทางอารมณ์ สร้างความผ่อนคลาย นอกเหนือจากนี้ยังใช้เป็นวิธีที่ควบคู่กับเทคนิคทางการแพทย์ในการรักษาโรคจิตเภท หรือภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย ย้อนกลับไปในปี 1950 มีการค้นพบโดยบังเอิญในเรื่องของสุนัขตัวหนึ่งที่ช่วยบำบัด และมอบความสุขให้แก่เด็กออทิสติกอย่างที่คนรอบข้างไม่สามารถทำได้ และในปลายปี 1970 ยังมีสุนัขบำบัดที่ชื่อ เดลต้า ซึ่งเป็นที่ยอมรับในแวดวงของสัตว์เลี้ยงบำบัด ที่นำความสุขมาให้แก่ผู้ป่วยมากที่สุด นอกจากสุนัขแล้ว ทางโครงการยังมีการนำสัตว์อื่นๆ อย่างหมู แมว กระต่าย ม้า นก รวมถึงงูที่นำมาฝึก เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงบำบัด ตอบสนองอาการ และความต้องการแต่ละบุคคลอีกด้วย ประโยชน์มากมายของสัตว์เลี้ยง ที่ช่วยกำจัด ความเหงา ให้แก่คุณ มนุษย์เรานั้นมีความผูกพันธ์ […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

โรคกลัวเลือด คืออะไร รักษาอย่างไร

โรคกลัวเลือด (Hemophobia) เป็นโรคที่อาจทำให้เกิดอาการกลัวเลือดอย่างไม่มีเหตุผล และอาจทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรืออาจรุนแรงถึงขั้นหมดสติได้และอาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำบางประการ โรคนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย การรู้สาเหตุและวิธีรักษาจึงอาจเป็นวิธีรับมือกับโรคนี้ได้อย่างเหมาะสม สาเหตุของโรคกลัวเลือด โรคกลัวเลือด เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการกลัวแบบไม่มีเหตุผล จัดอยู่ในกลุ่มของโฟเบีย (Phobia) คือ ความผิดปกติคล้ายกับโรคทางด้านระบบประสาท เช่น โรคตื่นตระหนก โรคกลัวแมว หรือสุนัข เป็นต้น แต่สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวนี้ อาจเป็นเพราะเคยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กระทบกระเทือนทางจิตใจ นำไปสู่ความหวาดกลัว หรืออาจเป็นโรคทางพันธุกรรมจากคนในครอบครัว ที่มีแนวโน้มทำให้เกิดอาการกลัวเลือด ทำให้มีอารมณ์อ่อนไหว จนถึงขั้นหมดสติเมื่อพบเห็น อาการของโรคกลัวเลือด โรคกลัวทุกประเภทมีการตอบสนองของร่างกายที่คล้ายคลึงกัน โดยมีทั้งอาการทางร่างกาย และทางอารมณ์ ดังนี้ ปฏิกิริยาของอาการกลัวเลือดที่แสดงออกทางร่างกาย แน่นหน้าอก หายใจลำบาก อัตราการเต้นของหัวใจถี่ และเร็วขึ้น เหงื่อออก และตัวสั่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปฏิกิริยาของอาการกลัวเลือดทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกวิตกกังวล หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเลือดแบบฉับพลัน รู้สึกสูญเสียการควบคุม สำหรับเด็กอาจมีอาการร้องไห้ อารมณ์โกรธ เกรี้ยวกราด หลีกเลี่ยงหรือหลบซ่อนเมื่อเห็นเลือด การรักษาโรคกลัวเลือด การรักษาโรคกลัวเลือดอาจส่งผลให้การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้ ด้วยวิธีรักษาเหล่านี้ การรักษาด้วยการสัมผัส (Touch Therapy) คุณหมออาจเริ่มการรักษาด้วยการพูดคุย โดยให้ผู้ป่วยเปิดเผยความรู้สึกกลัวเลือดว่ามีที่มาอย่างไร และสร้างภาพหรือลักษณะที่คล้ายกับเลือดเพื่อให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับความกลัว แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจมีขั้นตอนอื่น ๆ ร่วมด้วย […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

เอาชนะ อาการตื่นตระหนก ก่อนที่จะกระทบต่อสุขภาพหัวใจ

ตกใจแรง จนหัวใจเต้นเร็ว ถึงกับชะงักทำอะไรไม่ถูก อาจเป็นที่มาของ อาการตื่นตระหนก จนทำให้รู้สึกตื่นกลัว หวาดระแวง ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และสุขภาพของเราได้ มารู้วิธีรับมือของภาวะนี้ในบทความของ Hello คุณหมอ กันเถอะ อาการตื่นตระหนก คืออะไร อาการตื่นตระหนก (Panic Disoder) คือ อาการที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล หวาดหลัว โดยเฉพาะเมื่อเราพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ทำให้รู้สึกกดดัน และตื่นเต้น จนทำให้เกิดการตึงเครียดของกล้ามเนื้อ หายใจถี่ขึ้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งอาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่จะหายได้เองภายใน 2-3 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับบุคคลทั่วไป สาเหตุหลักๆ ของอาการตื่นตระหนกนี้อาจมาจากการรับรู้ของสมองที่ไปกระตุ้นต่อมความกลัวเกินจริง เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ หรือสภาพแวดล้อมรอบตัวที่ทำให้คุณรู้สึกไม่เป็นตนเอง เรียกอีกโครงสร้างนี้ว่า อะมิกดาลา (amygdala) ในงานวิจัยบางชิ้นระบุไว้ว่าผู้ที่ความวิตกกังวลอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากอัตราของหัวใจเปลี่ยนแปลง (HRV) สัญญาณของ อาการตื่นตระหนก ที่คุณควรรู้ อัตราการเต้นของหัวใจถี่ขึ้น เหงื่อออก แน่นหน้าอก ตัวสั่น รู้สึกร้อนวูบวาบภายใน หายใจเร็ว และถี่ วิงเวียนศีรษะ มึนงง จนถึงขั้นเป็นลมหมดสติ ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ กล้ามเนื้อรัดเกร็ง เสียการควบคุมทางด้านอารมณ์ และทางกายภาพ โปรดเข้าขอรับคำปรึกษาจากแพทย์เพิ่มเติม หากมีอาการอื่นๆ แทรกซ้อนรุนแรง เพื่อความปลอดภัย และห่างไกลจากโรคหัวใจ 6 วิธี รับมือกับอาการตื่นตระหนก เพื่อสุขภาพหัวใจที่ดี หากคุณอยู่ในภาวะตื่นตระหนกเช่นนี้ ควรเรียนรู้ที่จะรับมือเพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ สามารถเริ่มต้นได้ […]


การป้องกันการฆ่าตัวตาย

อยู่ก็ได้ ไม่อยู่ก็ดี ภาวะเฉยชากับชีวิต ที่นำไปสู่การคิดฆ่าตัวตาย

เบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิต แม้แต่ตอนหลับสมองก็ยังคิดถึงแต่ความตาย หากตัวคุณ หรือคนรอบข้างกำลังแสดงอาการ และพฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองอยู่ละก็ พวกเขาอาจกำลังเข่าสู่ ภาวะเฉยชากับชีวิต ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคซึม แต่จะมีอาการอย่างไรเพิ่มเติมนั้น มารู้ให้เท่าทันกับบทความนี้ ที่ Hello คุณหมอ ได้นำมาฝากทุกๆ คนกัน รู้จักกับ ภาวะเฉยชากับชีวิต (Passive Death Wish) เพื่อการรับมืออย่างเท่าทัน ภาวะเฉยชากับชีวิต หรือการคิดฆ่าตัวตายแบบพาสซีพ คือ อาการหมกมุ่นที่จะอยากจบชีวิตตนเองแบบไม่มีการคาดการณ์ หรือวางแผนไว้ล่วงหน้า เป็นการฆ่าตัวตายทางความคิดจินตนาการร่วมด้วย เช่น หากนอนหลับไปแล้ว ถ้าไม่ตื่นขึ้นมาก็คงจะดี หรือโลกจะน่าอยู่กว่านี้ถ้าไม่มีเรา ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ความคิดแต่ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์ร้ายแรงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่าประมาทภาวะน่ากลัวนี้เพราะคุณคาดเดาไม่ได้เลยว่าผู้ป่วยจะลงมือทำร้าย หรือจบชีวิตของพวกเขาตอนไหน สาเหตุหลักๆ ของภาวะเฉยชากับชีวิต มีหลายปัจจัยด้วยกัน คือ การใช้สารเสพติด ความกดดันจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตจนทำให้สะสม ปัญหาตามสภาพแวดล้อมในสังคม เช่น ปัญหาทางการเงิน ปัญหาด้านความสัมพันธ์ หรือสภาพแวดล้อมตามถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นเชิงลบ มีความผิดปกติด้านจิตใจ (ภาวะซึมเศร้า หรือโรคซึมเศร้า) ความเครียด วิตกกังวล เช็กอาการตนเอง และคนที่คุณรักโดยด่วน ก่อนจะสายเกินแก้ รู้สึกสิ้นหวังกับบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา พูดถึงความตาย หรือคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง การพึ่งสารเสพติดในปริมาณที่มากขึ้น อารมณ์แปรปรวนง่าย มีวิธีการคิดฆ่าตัวตายอย่างรุนแรง เช่น การใช้อาวุธปืน และของมีคม เป็นต้น คำพูดสื่อความหมายในเชิงบอกลาผู้คนที่พวกเขารัก ชอบแยกตนเองออกมาจากสังคม หรือผู้อื่น คุณสามารถสังเกตอาการข้างต้นที่กล่าวมาได้ หรือหากมีอาการอื่นๆ ที่ใกล้เคียง หรือรุนแรงกว่านั้น ให้คุณรีบพาผู้ป่วยไปขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

เห็นเจ้าเหมียวทีไร แล้วมีอาการกลัวสุดขีด คุณอาจกำลังเป็น โรคกลัวแมว

ด้วยดวงตาอันบ้องแบ๊วและนิสัยที่ขี้อ้อนของ “แมว” ทำให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงอันดับต้นๆ ที่ผู้คนต่างเทใจให้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะตกเป็นทาสแมวหรอกนะ ยังมีคนที่กลัวแมวอยู่ด้วย ถึงขั้นตกใจสุดขีดทุกครั้งที่เห็นเจ้าแมวเหมียวเลยก็ว่าได้ อาการกลัวตกใจนี้ไม่ใช่เพราะเขาคิดไปเอง แต่แท้จริงแล้วเขาอาจเป็น “โรคกลัวแมว” จะมีลักษณะอาการอย่างไรบ้างนั้น วันนี้ Hello คุณหมอ มีคำตอบค่ะ ทำความรู้จัก โรคกลัวแมว (Ailurophobia) โรคกลัวแมว (Ailurophobia) จัดอยู่ในกลุ่มโรคความกลัวเฉพาะเจาะจง (Specific phobia) เป็นความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ได้อันตราย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ไม่สามารถหยุดความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เจอ โดยจะมีอาการแสดงโต้ตอบอัตโนมัติทันทีที่เจอกับสิ่งนั้น เช่น ตัวสั่น เหงื่อแตก หัวใจเต้นเร็ว หายใจติดขัด เป็นต้น โรคกลัวแมวมีสาเหตุมาจากอะไรกันนะ สาเหตุของการกลัวแมวนั้นอาจเกิดจากปัจจัยหลายๆ ส่วน ดังนี้ ประสบการณ์ที่น่ากลัวในวัยเด็ก อาจโดนแมวกัดหรือข่วนในสมัยวัยเด็กที่ให้รู้สึกกลัวฝังใจ ปัจจัยทางพันธุกรรม อาการกลัวแฝงจากพ่อแม่ถูกถ่ายทอดสู่ลูกผ่านทางยีนที่อยู่ในโครโมโซม ลูกจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีความกลัวเหมือนที่พ่อแม่รู้สึก ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม อาจมีผลเนื่องจากความทรงจำในวัยเด็ก เช่น ช่วยเหลือแมวลงจากต้นไม้จนได้รับบาดเจ็บ การเห็นแมวโดนรถชน เป็นต้น เช็กด่วน! อาการที่บ่งบอกว่าคุณเป็นโรคกลัวแมว  ผู้ป่วยที่เป็นโรคกลัวแมวจะมีอาการแสดงออกด้วยกัน 2 ลักษณะคือ ทางด้านร่างกาย และทางด้านจิตใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางด้านร่างกาย หายใจติดขัด แน่นหน้าอก ตัวสั่น เหงื่อแตก ปวดท้อง (โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่แมวอยู่) ทางด้านจิตใจ รู้สึกตกใจกลัวทุกครั้งเมื่อนึกถึงแมว วิตกกังวลที่ได้ยินเสียงร้องแมว รู้สึกกลัวอย่ายิ่งเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีแมว รับมือและเอาชนะความกลัวได้อย่างไร  โรคกลัวแมวนี้ไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก เบื้องต้นเราสามารถหลีกเลี่ยงเพื่อไม่เจอหรือเข้าใกล้แมวได้ แต่เราอาจไม่สามารถที่จะหลีกหนีความหวาดกลัวที่ไม่ได้รับการรักษาได้เสมอไป เช่น […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

โรคกลัวความรัก คืออะไร

โรคกลัวความรัก เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการกลัวที่จะมีความรักและความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ความทรงจำด้านลบในอดีต หรือปัจจัยทางพันธุกรรม และอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหัวใจเต้นเร็ว หายใจติดขัด และคลื่นไส้อาเจียน การรักษาจึงอาจเป็นวิธีที่จะช่วยบำบัดอาการกลัวความรักให้บรรเทาลงได้ ก่อนที่จะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการเข้าสังคม หรือนำไปสู่อาการซึมเศร้า โรควิตกกังวล การใช้ยาเสพติด หรือแม้กระทั่งความคิดที่จะฆ่าตัวตาย โรคกลัวความรัก คืออะไร โรคกลัวความรัก (Philophobia) เป็นอาการกลัวแบบเฉพาะเจาะจง โดยส่วนใหญ่สาเหตุเกิดจากความผิดหวัง ความเสียใจ ความทรงจำเกี่ยวกับความรักที่ไม่ดีในอดีต ส่งผลให้ในอนาคตกลัวการมีความรัก ไม่กล้ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้อื่น กลัวการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งความกลัวดังกล่าวนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการแสดงออกทางร่างกาย เช่น เหงื่อแตก หัวใจเต้นเร็ว หายใจติดขัด คลื่นไส้ อาเจียน บางรายที่มีอาการรุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่เข้าสังคมจนอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า สาเหตุของโรคกลัวความรัก โรคกลัวความรักอาจเกิดจากปัจจัย ดังนี้ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม อาจมีผลเนื่องมาจากความทรงจำในวัยเด็ก เช่น เห็นภาพพ่อแม่ทะเลาะกัน ครอบครัวหย่าร้างจนทำให้เรารู้สึกกลัวไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับใครได้ ความทรงจำด้านลบ ประสบการณ์ความรักที่ไม่ดีในอดีต เช่น การโดนบอกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ คนรักนอกใจ แอบรักใครแล้วไม่สมหวัง  ส่งผลให้ปัจจุบันกลัวจะต้องเสียใจอีกครั้งจนไม่สามารถเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ได้ ปัจจัยทางพันธุกรรม พฤติกรรมและความกลัวแฝงจากพ่อแม่อาจถูกถ่ายทอดสู่ลูกผ่านทางยีนที่อยู่ในโครโมโซม ลูกจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีความกลัวเหมือนที่พ่อแม่รู้สึกด้วยเช่นกัน อาการโรคกลัวความรัก อาการกลัวที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทางด้านร่างกาย และทางด้านอารมณ์ ดังนี้  ทางด้านร่างกาย เจ็บหน้าอก เป็นลม เหงื่อแตก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ทางด้านอารมณ์ […]


ปัญหาสุขภาพจิตแบบอื่น

หลากหลายเรื่องควรรู้เกี่ยวกับ ไบโพลาร์ และ การบำบัดด้วยแสง

การบำบัดด้วยแสง ถือเป็นวิธีการบำบัดที่เป็นที่นิยม ซึ่งจะใช้แสงในการรักษาความผิดปกติด้วยการอาบแสงโดยใช้ “กล่องแสงจ้า (Light box Therapy)”  เพื่อรักษาภาวะซึมเศร้าตามฤดูกาล ภาวะซึมเศร้า ความผิดปกติของการนอนหลับ และยังมีประสิทธิภาพสำหรับใช้รักษาผู้ที่มีโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) หากใครที่กำลังสงสัยว่าการใช้แสงเพื่อบำบัดไบโพลาร์นั้น เป็นอย่างไร วันนี้ Hello คุณหมอ ได้ค้นหา ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกันแล้วค่ะ หลักการทำงานของ การบำบัดด้วยแสง การบำบัดด้วยแสงโดยทั่วแล้ว เป็นการบำบัดที่ให้ทำสายตาได้รับแสงสเปกตรัมโดยตรง โดยที่ต้องได้รับแสงสเปกตรัมครบทุกสเปกตรัม โดยใช้แหล่งกำเนิดแสง เช่น กล่องแสงจ้า (Light box) วิธีการคือ ผู้ป่วยจะนั่งอยู่ด้านหน้าของกล่องแสงจ้าเพื่อให้ได้รับแสงอย่างเต็มที่ การบำบัดด้วยแสงเป็นการบำบัดที่สามารถทำได้ทั้งที่โรงพยาบาลและมีการให้เช่าอุปกรณ์เพื่อทำที่บ้าน แต่การบำบัดด้วยวิธีนี้จำเป็นที่จะต้องไปพบคุณหมอทุกวัน การบำบัดด้วยแสงถูกใช้เพื่อ รักษาอาการซึมเศร้าของโรคไบโพลาร์ ดังนั้นหากผู้ป่วยที่ต้องการบำบัดด้วยแสงเพื่อรักษาอากรไบโพลาร์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ปริมาณของแสงที่ใช้ในการบำบัด การบำบัดด้วยแสงนั้น จะมีประโยชน์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เหมาะสมของแสงที่ใช้ในการบำบัด โดยปริมาณของแสงจะถูกกำหนดโดยความเข้มของแสง ระยะห่างระหว่างจุดกำเนิดแสงและบุคคลและระยะเวลาในการรับแสง แหล่งกำเนิดแสงส่วนใหญ่ให้ความสว่างที่ 10,000 ลักซ์(Lux) การใช้แสงเพื่อบำบัดความผิดปกติของอารมณ์ตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder) ความสว่างแสงเริ่มต้นที่แนะนำในการใช้เพื่อบำบัดความผิดปกติทางอารมณ์ตามฤดูกาลคือ 10,000 ลักซ์ของแสงยามเช้าเป็นเวลานาน 30 นาทีต่อวัน ส่วนผู้ที่มีอาการไบโพลาร์จะมีการใช้ความสว่างของแสงที่แตกต่างออกไป ผลข้างเคียงของ การบำบัดด้วยแสง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการบำบัดด้วยแสง คือ อาการปวดตา ปวดหัว กระสับกระส่ายและนอนไม่หลับ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน