ประจําเดือนตกค้าง คืออะไร ? อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ประจำเดือนตกค้าง คือ เลือดและเยื่อบุโพรงมดลูกเก่าที่ตกค้างและออกมาช่องคลอดหลังจากที่ประจำเดือนหมด โดยอาจมีลักษณะเป็นก้อนเลือดสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ คล้ายกากกาแฟ ซึ่งมักจะไม่ส่งผลอันตรายใด ๆ
อย่างไรก็ตาม หากสังเกตพบความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีอาการคันช่องคลอด ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดและทำการรักษาในทันที
[embed-health-tool-ovulation]
ประจําเดือนตกค้าง คืออะไร
ประจําเดือนตกค้าง คือ เลือดเก่าที่ตกค้างในมดลูก มีลักษณะเป็นก้อนเลือดสีดำหรือน้ำตาลเข้มคล้ายกากกาแฟ ที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ระหว่างเลือดประจำเดือนกับอากาศ ทำให้เลือดมีสีคล้ำขึ้น
ประจําเดือนตกค้าง กี่วัน
โดยทั่วไป ร่างกายมักจะขับประจำเดือนตกค้างออกมาภายใน 1-2 วัน หลังหมดประจำเดือนหรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล
ประจําเดือนตกค้างอันตรายหรือไม่
ประจําเดือนตกค้างเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและมักจะไม่ส่งผลอันตรายใด ๆ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื้องอกมดลูก การแท้งบุตร ดังนั้น จึงควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและตรวจสุขภาพช่องคลอดอย่างละเอียด
ประจำเดือนตกค้างที่ควรพบคุณหมอคืออะไร
อาการประจำเดือนผิดปกติที่ควรพบคุณหมอ มีดังนี้
- สีประจำเดือนผิดปกติ เช่น สีแดงปนดำ สีน้ำตาล สีชมพู สีส้ม สีเทา รวมถึงประจำเดือนมามากกว่าปกติจนจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง
- รอบเดือนสั้นกว่า 21 วัน หรือเป็นประจำเดือนหลายครั้งภายในเดือนเดียว
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือประจำเดือนขาดนานกว่า 3 เดือน
- ประจำเดือนมีลักษณะเป็นลิ่มเลือดขนาดใหญ่
- ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นและมีตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวสีเทา ตกขาวสีเหลือง ตกขาวสีเขียว ตกขาวเป็นก้อนคล้ายนมบูด
- อาการคันในช่องคลอด
- ปวดท้องเกร็งรุนแรง
- มีไข้ วิงเวียนศีรษะ อาเจียนและเหนื่อยล้าง่าย
- เจ็บหน้าอกหรือหายใจลำบากในระหว่างเป็นประจำเดือนหรือประจำเดือนหมด
การตรวจภายใน
การตรวจภายใน อาจช่วยให้ทราบว่าสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนตกค้างบ่อยคืออะไร เพื่อเข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็วก่อนเสี่ยงเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบ มะเร็งมดลูก ภาวะมีบุตรยาก
การวินิจฉัยสุขภาพช่องคลอด อาจทำได้ดังนี้
- การตรวจเลือด เพื่อหาว่ามีความเสี่ยงเป็นภาวะโลหิตจางที่ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือไม่ รวมถึงตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติ
- อัลตราซาวด์อุ้งเชิงกราน เพื่อตรวจหาเนื้องอกเนื้องอกมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูกที่อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือประจำเดือนตกค้างบ่อย
- การตรวจชิ้นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก คุณหมออาจเก็บตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง
- ทดสอบการทำงานของรังไข่ เพื่อวัดปริมาณของฮอร์โมนเอฟเอสเอช (Follicle Stimulating Hormone) และฮอร์โมนแอลเอช (Lutenizing hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญของไข่ หากมีระดับต่ำเกินไปอาจส่งผลต่อการมีประจำเดือนได้
- ทดสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ เป็นการวัดปริมาณฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ หากระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติอาจส่งผลให้ประจำเดือนขาดและประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอได้
- ทดสอบระดับฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมอง มีผลต่อฮอร์โมนควบคุมการตกไข่ หากระดับฮอร์โมนโปรแลคตินสูง อาจทำให้การตกไข่ผิดปกติ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ และประจำเดือนตกค้างได้