สาเหตุ
สาเหตุของสะเก็ดเงิน
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคสะเก็ดเงิน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันตัวเอง หรือที่เจาะจงกว่านั้นคือ หนึ่งเซลล์ที่เป็นหัวใจหลัก คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า “ที ลิมโฟไซท์ (T Lymphocyte)” หรือ “ทีเซลล์ (T Cell)” โดยปกติแล้ว ทีเซลล์มักจะเดินทางไปทั่วร่างกาย เพื่อตรวจจับและต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย แต่หากเป็นสะเก็ดเงิน ทีเซลล์จะทำการโจมตีเข้าที่เซลล์ผิวหนังที่สุขภาพดีด้วยความเข้าใจผิด เหมือนเป็นการรักษาแผลหรือต่อสู้กับการติดเชื้อ โดยที่โรคสะเก็ดเงินนั้นไม่ใช่การติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสะเก็ดเงิน
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคสะเก็ดเงิน มีดังนี้
- มีบาดแผลที่ผิวหนัง เช่น รอยบาด รอยถลอก แผลแมลงกัด และแดดเผา
- การดื่มสุรามากเกินไป
- การสูบบุหรี่
- ความเครียด
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิง เช่น ในช่วงวัยแรกรุ่น วัยหมดประจำเดือน
- กำลังรับประทานยาบางชนิด เช่น ลิเธียม (Lithium) ยาต้านมาลาเรีย (Antimalarial) บางชนิด ยาต้านอักเสบบางชนิด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ตัวยับยั้งแองจิโอเทนซิน-คอนเวอร์ติงเอนไซม์ (ACE Inhibitors) ที่ใช้เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง และยาในกลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta Blockers) ที่ใช้เพื่อรักษาโรคหัวใจวาย
- เจ็บคอ
- สภาวะความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เช่น เอชไอวี อาจทำเกิดโรคสะเก็ดเงิน หรือทำให้โรคปะทุได้ง่ายขึ้น
การไม่มีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่า จะไม่เสี่ยงเป็นโรคสะเก็ดเงิน ควรหมั่นดูแลสุขภาพ และสังเกตตนเอง หากพบอาการผิดปกติใด ๆ ที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคสะเก็ดเงินควรรีบเข้าปรึกษาคุณหมอทันที
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์ทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยสะเก็ดเงิน
คุณหมอสามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ด้วยการตรวจสอบดูที่ผิวหนัง เล็บ และหนังศีรษะ นอกจากนั้น คุณหมออาจทำการตัดชิ้นเนื้อผิวหนังส่วนเล็ก ๆ ไปเพื่อตรวจ หากการวินิจฉัยในเบื้องต้นนั้นยังไม่ชัดเจน
การรักษาสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาอาจช่วยควบคุมอาการของโรคได้
ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นโรคสะเก็ดเงิน และควรใช้ยาที่แพทย์หรือเภสัชกรสั่งมา เพื่อควบคุมและบรรเทาอาการของโรค มาตรการในการรักษาทั่วไป ได้แก่ การรักษาความสะอาดของผิวหนังให้ดี หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่ผิวหนังและความแห้ง เปิดรับแสงแดดในระดับปานกลาง และใช้ข้าวโอ๊ตสำหรับผสมน้ำอาบ
การรักษาโรคสะเก็ดเงินในระดับเบาจนถึงระดับปานกลางนั้น มีทั้งการใช้ครีมทาเฉพาะที่ โลชั่น แชมพู และขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน (Coal Tar) ซึ่งจะช่วยลดอาการอักเสบ รอยแดง การตกสะเก็ด และอาการคัน ยาสเตียรอยด์ และยาต้านอักเสบอื่น ๆ สำหรับทาลงบนผิวหนังเฉพาะที่นั้น ใช้สำหรับอาการในระดับเบาจนถึงปานกลาง และใช้เป็นการรักษาแบบผสมผสานสำหรับอาการในระดับรุนแรง
การรักษาแบบอื่น ๆ อาจมีทั้งการใช้กรดซาลิไซลิกในน้ำมันมิเนอรัล เพื่อกำจัดคราบ การฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตเอ ร่วมกับยาซอลาเร็น (PUVA) ยาสำหรับกดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) หรือยาไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) สำหรับอาการคัน และยาปฏิชีวนะ สำหรับการติดเชื้อแบบทีเรียแบบทุติยภูมิ (Secondary Bacterial Infections)
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือการเยียวยาตนเองที่จะช่วยจัดการกับสะเก็ดเงิน
ลักษณะไลฟ์สไตล์และการเยียวยาด้วยตนเองต่อไปนี้ อาจจะช่วยรับมือกับโรคสะเก็ดเงิน
- รับประทานยาตามที่แพทย์กำหนด
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณที่คุณกำลังใช้ รวมถึงยาที่หาซื้อได้เอง
- ให้ผิวได้เปิดรับแสงแดดบ้าง
- รักษาความสะอาดของผิวให้ดี
- ไปพบหมอตามนัดทุกครั้ง
- เฝ้าสังเกตผิวหนังของคุณสำหรับการฟื้นฟู และการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยมีสัญญาณคือรอยแดงรอบ ๆ แผล น้ำหนอง อาการปวดหรือบวมที่แผล หรือต่อมน้ำเหลือง และไข้
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่ผิวหนังและผิวแห้ง เนื่องจากอาจกระตุ้นให้เกิดการปะทุได้
ติดต่อแพทย์หากมีอาการเหล่านี้ ได้แก่
- มีสัญญาณของการติดเชื้อปรากฏขึ้น
- รอยแผลมีอาการแย่ลง หรือเกิดแผลใหม่แม้จะรักษาแล้ว
- มองเห็นตุ่มหนองที่ผิวหนัง โดยเฉพาะเกิดขึ้นพร้อมกับเป็นไข้ เหนื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการปวดหรือบวมที่ข้อต่อ
หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจให้ดีขึ้นถึงทางออกที่ดีที่สุด
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย