ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เส้นเอ็นฉีกขาด (Ruptured Tendon)

เส้นเอ็นฉีกขาด (Ruptured Tendon) หมายถึงอาการที่เส้นเอ็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือเส้นเอ็นทั้งเส้นฉีกขาดออกจากกัน อาจเกิดขึ้นจากการออกแรงมากเกินไป หรือเกิดการบาดเจ็บ คำจำกัดความเส้นเอ็นฉีกขาด คืออะไร เส้นเอ็นฉีกขาด (Ruptured Tendon) หมายถึงอาการที่เส้นเอ็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือเส้นเอ็นทั้งเส้นฉีกขาดออกจากกัน เส้นเอ็นนั้นคือเนื้อเยื่อเส้นใย ที่ยึดให้กล้ามเนื้อติดเข้ากับกระดูก โดยปกติแล้วเส้นเอ็นนั้นจะมีความแข็งแรงมาก และสามารถรับแรงได้มากถึง 5 เท่าของน้ำหนักตัว แต่หากเราออกแรงมากเกินไป หรือเกิดการบาดเจ็บ เช่น จากการเล่นกีฬา หรือการหกล้ม ก็อาจทำให้เส้นเอ็นเกิดการฉีกขาดได้ นอกจากนี้ การใช้ยาบางอย่าง หรือโรคบางชนิดก็อาจทำให้เกิดอาการเส้นเอ็นฉีกขาดได้เช่นกัน บริเวณที่อาจเกิดอาการเส้นเอ็นขาดได้มากที่สุดคือ เส้นเอ็นต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) เอ็นร้อยหวาย (Achilles) เส้นเอ็นไหล่ (Rotator cuff) เส้นเอ็นไบเซ็ปส์ (Biceps) เส้นเอ็นฉีกขาด พบบ่อยแค่ไหน อาการเส้นเอ็นฉีกขาดนั้นพบได้ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่นัก โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะพบอาการเส้นเอ็นฉีกขาดได้ในผู้สูงอายุ กับผู้ที่มีปัญหาเส้นเอ็นอ่อนแอจากปัจจัยต่างๆ อาการนี้หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในภายหลัง อาการอาการของเส้นเอ็นฉีกขาด อาการที่อาจเป็นสัญญาณของเส้นเอ็นฉีกขาดมีดังต่อไปนี้ รู้สึก หรือได้ยินเสียงฉีกขาดดังเปรี๊ยะ รู้สึกปวดอย่างรุนแรง มีรอยช้ำอย่างรวดเร็ว อ่อนแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวแขนหรือขาข้างที่มีอาการเส้นเอ้นฉีกได้ ไม่สามารถขยับบริเวณที่มีอาการเส้นเอ็นฉีกได้ บริเวณที่มีอาการเส้นเอ็นฉีกขาดผิดรูป หากเกิดอาการเส้นเอ็นร้อยหวายฉีกขาด อาจทำให้คุณไม่สามารถยืนเขย่งบนปลายนิ้วเท้าได้ ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด อาการเส้นเอ็นฉีกขาดนี้หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา อาจกลายไปเป็นปัญหาสำคัญ ดังนั้นจึงควรรีบติดต่อแพทย์ในทันที หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ หากคุณมีอาการปวดอย่างรุนแรงในบริเวณที่บาดเจ็บ และไม่ดีขึ้นแม้ว่าจะรับประทานยาแก้ปวดแล้ว หากแขนหรือขารู้สึกบวม ช้ำ และปวดอย่างรุนแรง หากคุณหายใจไม่ออก หน้ามืด หากคุณรู้สึกหรือได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ เหมือนกล้ามเนื้อฉีก หากแขนขามีลักษณะผิดรูป สาเหตุสาเหตุของเส้นเอ็นฉีกขาด สาเหตุโดยทั่วไปของอาการเส้นเอ็นฉีกขาดคือ อาการบาดเจ็บโดยตรง เช่น ที่เข่า ที่ข้อเท้า หรือที่ไหล่ อายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเส้นเอ็นลดลง ทำให้เส้นเอ็นอ่อนแอลง การยกของหนัก การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าในเส้นเอ็น การใช้ยาปฏิชีวนะบางชนิด โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงของเส้นเอ็นฉีกขาด ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เส้นเอ็นฉีกขาดมีดังต่อไปนี้ อายุ ผู้สูงอายุมักจะมีความเสี่ยงมากกว่าที่จะเกิดอาการนี้ เพศ อาการเส้นเอ็นฉีกขาด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ สักที ลดมาเป็นปีก็ยังเท่าเดิม เป็นเพราะอะไรมาดูกัน

หลายคนมุ่งมั่นและตั้งเป้าที่จะ ลดน้ำหนัก ให้ได้ตามต้องการ แต่ลดยังไงก็ยังไม่เห็นผลจริงๆ จังๆ สักที ลองมาเกือบจะครบทุกวิธีแล้ว อะไรที่เขาว่าดีก็ทำมาหมดแล้ว แต่ทำไมถึงยังไม่ประสบผลสำเร็จล่ะ? เป็นไปได้ว่าคุณอาจลดน้ำหนักผิดวิธี หรือใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมกับตัวเองก็ได้นะ แต่อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณผู้อ่าน ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ นั้น Hello คุณหมอ รวบรวมคำตอบมาให้แล้วค่ะ ทำไมเราถึง ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ สักที สาเหตุที่ทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย โดยสาเหตุที่ทำให้ ลดน้ำหนัก ไม่ได้ตามเป้าหมาย อาจมาจากหนึ่งในสาเหตุดังต่อไปนี้ นอนมากไปหรือนอนน้อยเกินไป การนอนที่มากจนเกินไป (นอนมากเกินกว่า 9 ชั่วโมง) หรือนอนน้อยจนเกินไป (นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง) จะมีผลทำให้ระดับของฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและระบบเผาผลาญทำงานได้น้อยลง อีกทั้งคนที่นอนน้อยก็จะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง อาจมีผลทำให้ไม่อยากจะออกกำลังกายหรือออกกำลังกายได้น้อยลง กินหลายมื้อ หลายคนอาจทำตามวิธีที่ว่าด้วยการแบ่งอาหารไว้กินหลายมื้อหรือการแบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ เป็นวิธีที่ช่วยให้อิ่มได้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วแทบไม่มีผลการรับรองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิธีนี้เท่าไหร่นัก ถ้าต้องการให้รู้สึกอิ่มจริงๆ อาจมีวิธีที่ดีกว่านั้น นั่นก็คือ การกินให้สมดุลหรือสอดคล้องกับปริมาณแคลอรี่ที่จำกัดไว้ในแต่ละวัน เลือกอาหารที่เน้นไฟเบอร์และโปรตีนที่จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้ดีกว่าการแบ่งกินเป็นมื้อเล็กๆ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้อิ่มในระยะยาวแล้ว ยังอาจจะกระตุ้นให้หิวบ่อยขึ้นก็ได้ ไม่ค่อยออกกำลังกาย การ ลดน้ำหนัก สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย แต่หลายคนอาจมุ่งเน้นแต่การจำกัดแคลอรี่และเลือกกินอาหารมากจนเกินไป และมองข้ามการออกกำลังกายซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์และดีต่อระบบเผาผลาญเป็นอย่างยิ่ง จากผลการวิจัยพบว่าผู้ที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายจะมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักตัวสูงกว่าคนที่เคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถไปฟิตเนส หรือออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวร่างกายเช่น การเดิน หรือการเดินขึ้นลงบันได […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำตาลมะพร้าว ดีต่อสุขภาพไหม แตกต่างจากน้ำตาลชนิดอื่นอย่างไร

ในการประกอบอาหารแต่ละเมนูนั้น การพิถีพิถันกับวัตถุดิบถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยทำให้อาหารได้วัตถุดิบที่สะอาด ปลอดภัย มีรสชาติที่ดี และมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย ไม่เว้นกระทั่งเครื่องปรุงที่ให้รสหวานอย่างน้ำตาล หลายคนก็ให้ความพิถีพิถันในการเลือกเช่นกัน วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาไปรู้จัก น้ำตาลมะพร้าว  เครื่องปรุงแบบไทยๆ ที่หลายครัวเรือนเริ่มหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะทำมาจากธรรมชาติแท้ๆ แถมยังให้กลิ่นและรสชาติที่ช่วยให้อาหารอร่อยและกลมกล่อมมากขึ้นด้วย นอกเหนือกจากรสชาติและความอร่อยของอาหารแล้ว น้ำตาลมะพร้าวจะดีต่อสุขภาพด้วยหรือเปล่าล่ะ? ถ้าอยากรู้ล่ะก็ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ [embed-health-tool-bmr] น้ำตาลมะพร้าว คืออะไร น้ำตาลมะพร้าว (Coconut sugar) หรือน้ำตาลปี๊บที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น ทำมาจากน้ำหวานหรือน้ำตาลสดที่ได้จากจั่นมะพร้าว แล้วนำมาผ่านกระบวนการเคี่ยวให้จับตัวจนกลายเป็นน้ำตาลปึก น้ำตาลปี๊บ หรือน้ำตาลมะพร้าว อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสับสนระหว่างน้ำตาลมะพร้าวกับน้ำตาลโตนด เพราะมีรูปลักษณ์และกรรมวิธีในการทำที่คล้ายคลึงกัน หากแต่ความแตกต่างกันของน้ำตาลทั้งสองชนิดนี้คือ น้ำตาลมะพร้าวจะได้จากน้ำตาลสดที่รองจากจั่นมะพร้าว ส่วนน้ำตาลโตนดจะทำจากน้ำตาลสดที่ได้จากจั่นของต้นตาล และไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำตาลธรรมชาติที่อยู่คู่ครัวไทยมาอย่างช้านาน ใช้ในการประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน ช่วยให้อาหารมีรสชาติหอมหวาน ได้กลิ่นไอรสหวานแบบธรรมชาติแท้ๆ  น้ำตาลมะพร้าวต่างจากน้ำตาลชนิดอื่นๆ อย่างไร จุดประสงค์หลักของน้ำตาลไม่ว่าชนิดใดก็คือการเพิ่มรสชาติหวานให้กับอาหารในทุกๆ เมนู ซึ่งน้ำตาลแต่ละชนิดก็จะให้รสชาติที่หวานคล้ายๆ กัน อาจแตกต่างในเรื่องของกลิ่น หรือรสชาติบ้าง แต่ให้ความรู้สึกถึงรสหวานเหมือนกันอย่างแน่นอน เรื่องความแตกต่างของน้ำตาลนั้นแต่ละชนิดนั้นก็แทบจะไม่ต่างกันมากเท่าใดนัก ที่อาจจะมองเห็นได้ชัดก็คือแหล่งของวัตถุดิบ น้ำตาลบางชนิดอาจจะทำมาจากอ้อย บางชนิดทำมาจากมะพร้าว หรืออาจผลิตจากพืชที่ให้ความหวานชนิดอื่นๆ ที่ต่างกันไป […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขกระดูก อีกหนึ่งอวัยวะสำคัญ ที่คุณอาจยังไม่รู้จักดีพอ

หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “ไขกระดูก” หรือ “การปลูกถ่ายไขกระดูก” แต่ก็อาจจะยังไม่แน่ใจว่าไขกระดูกคืออะไร และทำหน้าที่ใดในร่างกายของเรากันแน่ วันนี้ Hello คุณหมอ เลยอยากชวนคุณมาทำความรู้จักไขกระดูกให้ดีขึ้น คุณจะได้ดูแลไขกระดูกได้อย่างถูกต้อง เพราะไขกระดูกสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของคุณมากกว่าที่คิด ไขกระดูก คืออะไร ไขกระดูก (Bone marrow) คือ เนื้อเยื่อที่มีลักษณะเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำซึ่งบรรจุอยู่ในช่องไขกระดูก หรือโพรงกระดูก (Medullary cavity) ที่อยู่ตรงกลางของกระดูก เราสามารถพบไขกระดูกได้ในกระดูกบางบริเวณของร่างกาย เช่น กระดูกสะโพก กระดูกต้นขา กระดูกสันหลัง ไขกระดูก สำคัญอย่างไร ไขกระดูกนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ ไขกระดูกแดง และไขกระดูกเหลือง โดยไขกระดูแต่ละชนิด มีหน้าที่สำคัญในร่างกายดังนี้ 1. ไขกระดูกแดง (Red bone marrow) เป็นเนื้อเยื่อมัยอีลอยด์ (Myeloid tissue) มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างเลือดจากเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ โดยกระบวนการนี้เรียกว่า Hematopoiesis หรือ Hemopoiesis ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดที่ได้จากกระบวนการนี้ ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ลำเลียงเลือดที่อุดมไปด้วยออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาว มีด้วยกันหลายชนิด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

สิ่งที่คุณควรรู้ ก่อนตัดสินใจทำ การดูดไขมัน

การดูดไขมันนั้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับผู้ที่อาจจะมีปัญหาในเรื่องของน้ำหนักตัว หรือไขมันส่วนเกิน วันนี้ Hello คุณหมอ จะมานำเสนอ สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ การดูดไขมัน ว่ามีการทำงานอย่างไร และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนได้ทราบก่อนตัดสินใจทำการดูดไขมันกันนะคะ การดูดไขมัน เป็นอย่างไร การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นกระบวนการศัลยกรรมเพื่อความสวยความงามประเภทหนึ่ง ที่จะทำการกำจัดไขมันที่สะสมเฉพาะส่วน เช่น สะโพก หน้าท้อง ใต้คาง หรือต้นขา ที่คุณไม่สามารถกำจัดได้จากวิธีการควบคุมอาหาร หรือการออกกำลังกายตามปกติ โดยการใช้ท่อดูดไขมันออกจากร่างกายโดยตรง การดูดไขมันนี้จะมีจุดประสงค์มุ่งเน้นไปที่การปรับลักษณะและรูปร่าง มากกว่าการลดน้ำหนักตัว แต่ในบางครั้งการดูดไขมันก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการศัลยกรรมอื่นๆ เช่น การผ่าตัดดึงหน้า การผ่าตัดกระชับหน้าอก หรือการผ่าตัดกระชับหน้าท้อง เป็นต้น การดูดไขมันเหมาะกับใครบ้าง ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจกันก่อนเลยว่า การดูดไขมันนั้น ไม่ใช่วิธีในการลดน้ำหนัก และไม่สามารถช่วยกำจัดเซลลูไลท์ (Cellulite) ออกไปจากร่างกายได้ การดูดไขมันนั้นจะใช้เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนรูปร่าง กำจัดไขมันส่วนเกิน และช่วยทำให้บางส่วนดูยุบหรือเล็กลงไปเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำให้ดูผอมได้ในคราวเดียว เนื่องจากการดูดไขมันนั้นอาจมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อสุขภาพต่างๆ มากมาย ดังนั้น ผู้ที่ต้องการดูดไขมัน จึงควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ผู้ที่มีไขมันส่วนเกิน ที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ แม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว มีน้ำหนักตัวมากกว่าน้ำหนักตัวที่ต้องการ อย่างน้อย 30% มีสุขภาพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน ผิวมีความยืดหยุ่นสูง ไม่สูบบุหรี่ มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่ใช้ยาที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการตกเลือด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด แพทย์จะไม่แนะนำให้ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ให้น้ำเกลือ สำคัญอย่างไร ทำไมถึงจำเป็นต้องให้น้ำเกลือ

ให้น้ำเกลือ หรือการใช้สารละลายโซเดียมคลอไรด์  (Sodium Chloride: NaCl) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่พบเห็นได้บ่อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำ ท้องเสียรุนแรง อาเจียน รวมไปถึงสูญเสียเลือด เพื่อช่วยทดแทนน้ำที่ร่างกายเสียไป อย่างไรก็ตาม ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ [embed-health-tool-bmi] ทำไมคุณหมอจึงต้อง ให้น้ำเกลือ น้ำเกลือ มีส่วนผสมของโซเดียมคลอไรด์  (Sodium Chloride: NaCl)  ถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักทางการแพทย์มานานกว่า 150 ปี เมื่อเวลาเราป่วยเข้าโรงพยาบาล แพทย์จะให้ น้ำเกลือ เนื่องจากมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับเลือด เพื่อใช้ทดแทนน้ำที่ร่างกายได้เสียไป (ให้ผ่านเส้นเลือดดำ) จากภาวะขาดน้ำ ไข้ อาการท้องเสีย อาเจียน รวมถึงการเสียเลือดจากอุบัติเหตุต่างๆ  เป็นต้น จริงหรือไม่ เมื่อได้รับน้ำเกลือบ่อย ๆ จะทำให้ตัวบวม ความเชื่อที่ว่า การได้รับ น้ำเกลือ บ่อย ๆ ทำให้น้ำหนักขึ้น หรือตัวบวมนั้น ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงอาการระยะสั้น ๆ เท่านั้น น้ำเกลือจะถูกกำจัดออกจากร่างกายภายใน 24 ชม. ร่างกายจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการตัวบวม หรือพบว่าน้ำหนักขึ้นอย่างผิดปกติหลังจากได้รับน้ำเกลือ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องทันที […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กัดเล็บบ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

พฤติกรรมการ กัดเล็บบ่อยๆ นั้นถือเป็นพฤติกรรมที่นอกจากจะทำให้ดูเสียบุคลิกภาพแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย เนื่องจากในชีวิตประจำวัน ทุกคนย่อมใช้มือในการหยิบจับสิ่งของหรือวัตถุต่างๆ ซึ่งของบางอย่างอาจจะมีเชื้อโรคแฝงตัวอยู่ ดังนั้นการกัดเล็บอาจเป็นการนำพาให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้น ทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำเรื่องเกี่ยวกับการกัดเล็บบ่อยๆ มาฝากกัน ทำไมคนเราถึงชอบ กัดเล็บบ่อยๆ นิสัยเป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไข บางครั้งคนเรากัดเล็บเพราะกำลังรู้สึกประหม่า เบื่อ หรือบางที่คุณอาจจะไม่ได้สังเกตตัวเองจนไปทำเล็บที่ร้านแล้วถึงเห็นว่าเล็บสั้นเกินไป ไม่ว่าจะกัดเล็บเพราะกรณีใดๆ มันมีบางวิธีที่สามารถช่วยให้คุณหยุดกัดเล็บได้ สำหรับพฤติกรรมการกัดเล็บ (Nail Biting) ในทางการแพทย์เรียกพฤติกรรมประเภทนี้ว่า Chronic onychophagia ถือเป็นพฤติกรรมที่พบมากที่สุดในการบรรเทาความเครียดที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีนิสัยอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมดังกล่าว ได้แก่ การดูดนิ้วหัวแม่มือ การแคะจมูก การม้วนผม การกัดฟัน การหยิกผิว กัดเล็บบ่อยๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร แน่นอนว่าการกัดเล็บนั้นไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เพราะมือของเรานั้นต้องสัมผัสกับสิ่งของมากมายหลายอย่าง ซึ่งบางอย่างที่สัมผัสอาจจะมีเชื้อโรครวมอยู่ด้วย เชื้อโรคเหล่านี้สามารถเข้าไปติดในซอกเล็บของคุณได้ และเมื่อคุณกัดเล็บเชื้อโรคเหล่านั้นก็จะเข้าสู่ร่างกาย ก็สามารถนำมาสู่ผลเสียต่อสุขภาพหรือโรคต่างๆ เราลองมาดูกันว่า การกัดเล็บนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อที่ผิวหนัง Debra Jaliman แพทย์ผิวหนังจากกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า การกัดเล็บสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียใต้เล็บ เช่น พาโรนีเคีย (Paronychia) ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และทำให้เล็บเต็มไปด้วยหนอง นอกจากนั้นยังทำให้การติดเชื้อในช่องปากได้ ซึ่งจำจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา อาจนำไปสู่โรคข้ออักเสบหรือความพิการ David Katz ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการป้องกันมหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า หากไม่สามารถควบคุมพาโรนีเคียหรือการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ได้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า (Baker's Cyst)

ภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า  (Baker’s Cyst)  คือ อาการบวมบริเวณหัวเข่า ซึ่งเกิดจากถุงน้ำหรือมีก้อนของเหลวอยู่ภายในบริเวณหลังหัวเข่า ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดบริเวณข้อเข่า น่อง เคลื่อนไหวลำบาก คำจำกัดความภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า (Baker’s Cyst) คืออะไร ภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า (Baker’s Cyst)  คือ อาการบวมบริเวณหัวเข่า ซึ่งเกิดจากถุงน้ำหรือมีก้อนของเหลวอยู่ภายในบริเวณหลังหัวเข่า ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดบริเวณข้อเข่า น่อง เคลื่อนไหวลำบาก อย่างไรก็ตามภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่าไม่ใช่โรคร้ายแรง ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา สามารถหายไปเองได้ แต่หากผู้ป่วยมีอาการบวมมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง พบได้บ่อยเพียงใด ภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่าพบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป อาการอาการของภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า ผู้ป่วยที่อยู่ใน ภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่าจะมีอาการแสดงออก ดังต่อไปนี้ อาการปวดเข่า ปวดน่อง เข่ามีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัด เมื่อยืนเปรียบเทียบกับอีกข้าง มีถุงน้ำหรือก้อนนิ่มๆขึ้นชัดเจนบริเวณหัวเข่า อาการช้ำที่เข่า และน่อง ถุงน้ำบริเวณหัวเข่าแตก เคลื่อนไหวลำบาก งอเข่าได้ไม่เต็มที่ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า ภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่าเกิดจากปริมาณน้ำไขข้อที่ไหลเวียนผ่านโพรงข้อเข่ามากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ เมื่อหัวเข่าผลิตน้ำมาจนเกิดไปทำให้เข่าเกิดเป็นก้อนบวมนูนขึ้นมา รวมถึงสาเหตุอื่นๆ ดังนี้ กระดูกข้อหัวเข่าเกิดความเสียหาย โรคข้ออักเสบที่หัวเข่า โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การบาดเจ็บที่หัวเข่า เช่น กระดูกอ่อนฉีก ความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวเข่า การวินิจฉัยและการรักษาข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการสอบถามประวัติและตรวจร่างกายดูอาการ โดยแพทย์อาจเปรียบเทียบกับเข่าอีกข้างเพื่อดูความแตกต่าง  นอกจากนี้แพทย์อาจตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging : MRI) หรือการอัลตราซาวด์ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

นิ้วเปื่อย (Pruney Fingers) สาเหตุ อาการ และการรักษา

ผิวหนังบนนิ้วมืออาจเกิดรอยย่นขึ้นได้ เมื่อแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “นิ้วเปื่อย” นอกจากนั้นการจับวัตถุที่เปียกหรือจับวัตถุต่าง ๆ ในน้ำก็สามารถทำให้นิ้วเปื่อยได้ [embed-health-tool-heart-rate] คำจำกัดความ นิ้วเปื่อย (Pruney Fingers) คืออะไร ผิวหนังบนนิ้วมืออาจเกิดรอยย่นขึ้นได้ เมื่อแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “นิ้วเปื่อย” นอกจากนั้นการจับวัตถุที่เปียกหรือจับวัตถุต่าง ๆ ในน้ำก็สามารถทำให้นิ้วเปื่อยได้ แต่ถ้าหากนิ้วมือเปื่อยนั้นเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้โดนน้ำเลยแม้แต่น้อย มันอาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาทางการแพทย์ก็ได้ ผิวหนังบนนิ้วมือและนิ้วเท้าของมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ผิวหนังเรียบไม่มีขน (Glabrous) แต่เมื่อนิ้วมือหรือนิ้วเท้าสัมผัสกับน้ำเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ผิวหนังที่เรียบและไม่มีขนนั้นมีลักษณะเหมือนลูกพรุน โดยคนส่วนใหญ่จะพบเจอนิ้วเปื่อยได้บ่อย ๆ จากการอาบน้ำนาน ๆ ว่ายน้ำ หรือล้างจาน ซึ่งมันมักจะเกิดขึ้นจากน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น นิ้วเปื่อย พบบ่อยเพียงใด โดยปกติแล้วนิ้วเปื่อยจะพบได้บ่อย เมื่อคุณอาบน้ำเป็นเวลานานๆ หรือใช้เวลาในสระว่ายน้ำเป็นเวลานาน ๆ แต่บางครั้งนิ้วเปื่อยก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำเพียงอย่างเดียว มันอาจเกิดขึ้นได้จากอาการของปัญหาทางการแพทย์ ควรไปพบหมอเมื่อใด นิ้วเปื่อยที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสน้ำไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เพราะมันสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้หลังจากที่แห้งแล้ว บุคคลที่มีอาการนิ้วเปื่อยโดยที่ไม่ได้เกิดจากน้ำ แต่ไม่มีอาการอื่น ๆ ที่มองเห็นได้ชัดเจน อาจจะเกิดจากภาวะขาดน้ำที่ยังไม่รุนแรง ซึ่งทุกคนที่ประสบภาวะขาดน้ำควรดื่มน้ำให้มากขึ้น หากบุคคลดื่มน้ำเพียงพอ แต่ยังมีอาการนิ้วเปื่อย มันอาจเป็นภาวะทางการแพทย์ ใครก็ตามที่มีอาการนิ้วเปื่อยบ่อย ๆ จนเกิดความกังวล คุณสามารถไปปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ นอกจากนั้นการจดบันทึกอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และตัวกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการนิ้วเปื่อยได้นั้น สามารถช่วยให้แพทย์วินิจฉัยอาการได้ดีขึ้น หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ออกซิเจนบำบัด แคปซูลแห่งอากาศบริสุทธิ์ กับข้อเท็จจริงที่คุณควรรู้

เนื่องจากสภาพแวดล้อมรอบข้างที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบันอาจมีมลพิษมาจากฝุ่นละอองต่าง ๆ เข้าไปยังสู่ระบบทางเดินหายใจ จนอาจทำให้คุณนำไปสู่อาการภูมิแพ้ และการล้มป่วยได้ วันนี้ Hello คุณหมอ จึงขอนำนวัตกรรมใหม่ของทางการแพทย์ นั่นก็คือ ออกซิเจนบำบัด ซึ่งเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการเพิ่มอากาศบริสุทธิ์เข้าไปยังช่องปอด มาฝากทุกคน ให้ได้ลองทำการพิจารณาก่อนตัดสินใจลองหันไปใช้บริการกันค่ะ ออกซิเจนบำบัด คืออะไร ออกซิเจนบำบัด (Hyperbaric oxygen therapy) คือ เทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ สมัยก่อนนั้นการทำออกซิเจนบำบัดมักนิยมนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ โดยจะอาศัยการเพิ่มระดับแรงดันในอากาศตามความเหมาะสมทางสภาวะสุขภาพของผู้ป่วยเข้าไปในแคปซูล หรือห้องบำบัดเฉพาะทาง เพื่อให้คุณนั้นได้สูดอากาศบริสุทธิ์ไปยังทางเดินหายใจ และนำไปหล่อเลี้ยงเม็ดเลือด เนื้อเยื่อ หรือเซลล์ภายในร่างกายให้มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังอาจเป็นการยับยั้ง ต่อสู้กับแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย โดยปกติแล้วอากาศที่เราสูดเข้า-ออกเป็นประจำทุกวันมักมีออกซิเจนอยู่เพียง 21% เท่านั้น แต่สำหรับการใช้ตัวช่วย หรือเทคนิคนี้เข้ามาเสริม ร่างกายของคุณอาจได้รับออกซิเจนเข้าไปได้ถึง 100% เลยทีเดียว ถึงอย่างไรการที่คุณจะเข้ารับการบำบัดจากนวัตกรรมนี้ ยังคงจำเป็นต้องผ่านการได้รับอนุญาตจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน เพื่อป้องกันอันตราย และผลข้างเคียงอื่น ๆ ทางสุขภาพตามมา การทำออกซิเจนบำบัดเหมาะสำหรับคนกลุ่มใด ปัจจุบัน การทำออกซิเจนบำบัด ได้ถูกการยอมรับโดยการลงมติอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration ; FDA) อย่างเป็นทางการสำหรับใช้รักษาผู้ป่วย หรือผู้ที่กำลังประสบกับสภาวะทางสุขภาพในบางรายเท่านั้น ดังนี้ โรคโลหิตจาง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน