ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วัยรุ่นกับการศัลยกรรม : เมื่อสิ่งที่เปลี่ยนไป อาจไม่ใช่แค่รูปลักษณ์

ใครๆ ก็อยากดูดี โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่เริ่มรักสวยรักงาม เริ่มใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเอง ถึงขั้นที่วัยรุ่นบางคนสามารถอยู่หน้ากระจกได้เป็นชั่วโมงๆ หรือถ่ายรูปเซลฟี่ได้เป็นร้อยๆ รูป และเมื่อวัยรุ่นเริ่มไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ความนิยมในการทำศัลยกรรมพลาสติกเพื่อแก้ไขจุดบกพร่อง หรือเสริมความงามก็เริ่มสูงขึ้น แม้ วัยรุ่นกับการศัลยกรรม จะไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคปัจจุบัน แต่ก็มีหลายสิ่งที่วัยรุ่นที่อยากทำศัลยกรรมความงามต้องพิจารณา เพราะสิ่งที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย ทำไมวัยรุ่นถึงอยากทำศัลยกรรม รูปร่างหน้าตาถือเป็นสิ่งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ และสามารถส่งผลต่อสภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ได้ด้วย วัยรุ่นอยากทำศัลยกรรมก็เพื่อแก้ไขรูปร่างหน้าตาของตัวเองให้ดูดีขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นผลมาจากการโดนเพื่อนล้อเกี่ยวกับรูปลักษณ์ บ้างอาจเป็นเพราะอยากรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อน อยากเหมือนคนอื่น ไม่อยากรู้สึกแตกต่าง ยิ่งในปัจจุบันการเข้าถึงสื่อโซเชียลเป็นเรื่องง่ายดาย วัยรุ่นบางคนก็อาจอยากทำศัลยกรรมตามดารานักร้อง หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ตัวเองชอบ หรือวัยรุ่นบางคนก็อาจอยากทำศัลยกรรมเพราะรูปลักษณ์ปัจจุบันนั้นส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มีหน้าอกใหญ่เกินไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว การทำศัลยกรรมไม่เพียงแต่จะทำให้รูปร่างหน้าตาดีขึ้น แต่บางครั้งยังทำให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง หรือลดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ได้ด้วย วัยรุ่นกับการศัลยกรรม ที่นิยม การทำศัลยกรรมความงาม หรือศัลยกรรมพลาสติกที่วัยรุ่นนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ ศัลยกรรมจมูก เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของจมูกทั้งที่มีมาแต่กำเนิด หรือเป็นผลจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็น จมูกเบี้ยว จมูกเล็กไป จมูกใหญ่ไป ดั้งไม่มี เป็นต้น จมูกเป็นอวัยวะที่เป็นศูนย์กลางของใบหน้า ผู้คนทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยทำงานจึงนิยมศัลยกรรมจมูก หรือเสริมจมูกเพื่อทำให้จมูกดูชัด สวยงาม ได้รูปขึ้น โดยปกติแล้ว แพทย์จะทำศัลยกรรมจมูกให้ก็ต่อเมื่อจมูกเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว นั่นคือ ช่วงอายุ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กินผิด ชีวิตเปลี่ยน!! รู้ให้ชัวร์ วิธีกินยาคลายกล้ามเนื้อ ให้ถูกวิธี

อาการปวดเมื่อย ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวัยผู้สูงอายุเท่านั้นนะคะ แต่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัน โดยเฉพาะกิจกรรมที่เราใช้กล้ามเนื้อมากจนเกินไป หรือ กิจกรรมที่เราใช้กล้ามเนื้อทำท่าแบบเดิมๆ ซ้ำๆ โดยส่วนใหญ่เมื่อเราเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยก็มักจะไปซื้อยาที่ร้านขายยามารับประทานยาเองเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่หารู้ไม่ว่าการกินยาโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้ระเอียดแน่นอนนั้นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมา ถึงแม้ว่ายาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) จะหาซื้อได้ง่าย แต่เราต้องกินให้ถูกโรค ถูกอาการ จึงจะถูกต้องและปลอดภัยต่อสุขภาพ วันนี้  Hello คุณหมอนำ วิธีกินยาคลายกล้ามเนื้อ มาฝาก ลองศึกษารายละเอียดให้ถูกต้อง ก่อนรับประทานยา เพื่อสุขภาพที่ดีของเรากันนะคะ [embed-health-tool-bmr] ข้อบ่งใช้ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) คือ กลุ่มยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการตึงของกล้ามเนื้อ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทในสมองส่วนกลาง กล่อมประสาท ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ปัจจุบันในการรักษาอาการทางกล้ามเนื้อมีหลากหลายวิธีมากเลยค่ะ โดยอาการของแต่ละบุคคลจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ว่าเหมาะสมกับการรักษาแบบใด ผลข้างเคียง ยาคลายกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียงหลังการใช้ยา ดังนี้ วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย เมื่อยล้า มีผื่นคัน ผดผื่นแดง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ปากแห้ง คอแห้ง ใจสั่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง วิธีกินยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) มีทั้งในรูปแบบเม็ด 10 และ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ยาดม ภัยเงียบที่มาพร้อมกับความสดชื่น

ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวของบ้านเรานั้น หากมีตัวช่วยดีๆ ที่ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น ท่ามกลางอากาศร้อนระอุได้ ก็คงจะดีไม่น้อย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ยาดม จึงเป็นสิ่งที่ครองใจคนไทยแทบจะทุกคน บางคนพกยาดมติดตัวตลอดเวลา และดมยาดมแทบจะทั้งวัน จากวัตถุประสงค์ในการเพิ่มความสดชื่น แต่หากดมมากเกินไป ร่างกายอาจพบกับอันตรายได้ชนิดที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว เรามาเรียนรู้ถึงอันตรายของยาดมในบทความนี้ของ Hello คุณหมอ กันค่ะ สารประกอบใน ยาดม สารประกอบหลักๆ ในยาดม ประกอบไปด้วย เมนทอล การบูร พิมเสน น้ำมันหอมระเหย เมนทอล (Menthol) หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกัน คือ เกล็ดสะระแหน่ มีลักษณะเป็นผลึกเล็ก ๆ มีสีขาว เมนทอลใช้สำหรับรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อต่อ (เช่น โรคข้ออักเสบ ปวดหลัง เคล็ดขัดยอก) เมนทอลมีกลิ่นหอม และให้ความรู้สึกเย็น ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คัดจมูก ลดอาการปวด บวม และยังช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย การบูร (Camphor) คือ ผลึกที่พบในเนื้อไม้ของต้นการบูร การบูรมีสรรพคุณที่คล้ายกับเมนทอล มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และต้านการอักเสบ และยังช่วยในการทำงานของระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการปวด พิมเสน (Patchouli) มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion)

การกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion)  คือ การได้รับการกระทบกระเทือนที่ส่งผลต่อศีรษะของคุณโดยตรง  ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ฟกช้ำ ส่งผลให้ผู้ป่วย มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้และอาเจียน มองเห็นภาพซ้อน สูญเสียความทรงจำ  โดยการักษานั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล   การกระทบกระเทือนทางศีรษะ คืออะไรการกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion) คืออะไร การกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion)  คือ การได้รับการกระทบกระเทือนที่ส่งผลต่อศีรษะของคุณโดยตรง  ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ฟกช้ำ ส่งผลให้ผู้ป่วย มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้และอาเจียน มองเห็นภาพซ้อน สูญเสียความทรงจำ  โดยการักษานั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล ถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บแล้ว ยังสามารถส่งผลไปยังสมอง จนถึงขั้นอาจทำให้เสียชีวิตได้ พบได้บ่อยเพียงใด สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย  โดยเฉพาะในวันทารกและวัยเด็ก อาการอาการกระทบกระเทือนทางศีรษะ สัญญาณและอาการของการกระทบกระเทือนมีอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของบาดแผล และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางศีรษะจะส่งผลต่อทั้งทางด้านร่างกายและสภาพจิตใจ โดยมีอาการดังต่อไปนี้ สูญเสียความทรงจำ สับสน มึนงง ซึม หรือ อาการซึมเศร้า วิงเวียนศรีษะ  ปวดศีรษะ เห็นภาพซ้อน คลื่นไส้ อาเจียน ปัญหาด้านความสมดุล ปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสิ่งเร้าช้ากว่าปกติ ช่วงระยะเวลาที่กำลังพักฟื้นหลังจากได้รับการกระทบกระเทือนศีรษะนั้น คุณอาจมีอาการดังต่อไปนี้ หงุดหงิด อ่อนไหวต่อแสงและเสียงดัง ไม่มีสมาธิ ปวดศีรษะ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของการกระทบกระเทือนทางศีรษะ สาเหตุส่วนใหญ่ของการถูกกระทบกระเทือนทางศีรษะเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น การได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์  การถูกทำร้ายร่างกาย ปัจจัยเสี่ยงของการกระทบกระเทือนทางศีรษะ มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อสุขภาพร่างกายของเรา อย่างเช่น การเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหากมีอุปกรณ์ในการเล่นที่ไม่ปลอดภัย อยู่ในสถานการณ์เกิดอุบัติเหตุทางเท้าหรือจักรยาน เป็นทหารอยู่ในสนามรบ ตกเป็นเหยื่อในการทารุณกรรมทางร่างกาย หกล้ม หรือถูกกระแทก เกิดขึ้นได้ในเด็กและผู้สูงอายุ เคยถูกกระแทกมาแล้วก่อนหน้านี้ การวินิจฉัยและการรักษาข้อมูลที่ได้รับไปนั้นไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงจะดีกว่า การวินิจฉัยการกระทบกระเทือนทางศีรษะ ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการสอบถามประวัติและประเมินอาการ นอกจากนี้ยังทำการทดสอบอื่น ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ลำไส้ใหญ่ ทำหน้าที่อะไรในร่างกายของเรากันแน่

ระหว่างกระบวนการย่อยอาหาร ร่างกายต้องดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป แต่คุณอาจไม่ทราบว่าร่างกายยังจำเป็นต้องขับถ่ายของเสียที่เป็นพิษออกไปด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมลำไส้ใหญ่จึงมีความสำคัญ วันนี้ Hello คุณหมอ เลยอยากนำเสนอบทความเกี่ยวกับ ลำไส้ใหญ่ เพื่อให้คุณรู้จักอวัยวะสำคัญนี้ดีขึ้น [embed-health-tool-bmi] หน้าที่ของ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ เป็นท่อกล้ามเนื้อขนาดประมาณ 1.6 เมตรและมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร มีขนาดกว้างแต่สั้นกว่าลำไส้เล็ก โดยลำไส้ใหญ่เป็นส่วนสุดท้ายของระบบทางเดินอาหาร หน้าที่ของลำไส้ใหญ่คือ ดูดกลับน้ำ ดูดซึมวิตามินเค กำจัดกากของเสียและสารพิษจากลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดบน ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดลงล่าง ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ลำไส้ใหญ่กินพื้นที่บริเวณท้องส่วนล่างด้านขวา ซึ่งเป็นบริเวณที่ลำไส้เล็กขับสารอาหารเข้าสู่ส่วนแรกของลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่า ซีกั้ม (cecum) ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดบนเริ่มจากส่วนซีกั้มจนถึงระดับของตับ จากนั้นลำไส้จะขดไปทางซ้ายและพาดผ่านช่วงท้องที่เรียกว่าลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดปลายเริ่มจากส่วนท้องด้านซ้ายไปจนถึงเชิงกรานที่บริเวณตำแหน่งม้าม เรียกว่า ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และสิ้นสุดที่ลำไส้ตรง ซึ่งเป็นบริเวณที่ของเสียถูกขับออกจากร่างกาย ในช่วงแรก เมื่ออาหารผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ จะถูกเปลี่ยนเป็นกากอาหารหรืออุจจาระ และถูกลำเลียงไปกักเก็บไว้ที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ของเสียจะถูกส่งเข้าสู่ไส้ตรงเมื่อมีการขับถ่ายอุจจาระซึ่งเกิดขึ้น 1-2 ครั้งต่อวัน ลำไส้ใหญ่ดูดซึมน้ำและแร่ธาตุและสร้างของเสียเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปแบบของอุจจาระ ในลำไส้ใหญ่มีแบคทีเรียมากกว่า 400 ชนิดซึ่งหน้าที่หลักคือแบคทีเรียเหล่านี้คือ ช่วยย่อยอาหาร กระตุ้นการผลิตสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามินเค วิตามินบีหลายชนิด สร้างสมดุลของกรดและด่าง รวมถึงป้องกันการแพร่กระจายของแบคทีเรียที่เป็นอันตราย ผู้ที่มีสุขภาพลำไส้ใหญ่ดีควรขับถ่ายได้ง่ายและอุจจาระออกหมด และอุจจาระควรมีสีอ่อน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

หิวน้ำบ่อย อยากดื่มน้ำตลอดเวลา อาการเหล่านี้เกิดจากสาเหตุใดกันแน่

หิวน้ำบ่อย หรือ กระหายน้ำบ่อย เพราะร่างกายเสียน้ำมาก เช่น หลังออกกำลังกายอย่างหนัก หรือในวันที่อากาศร้อนจัด อาการกระหายน้ำแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าอยากดื่มน้ำตลอดเวลา กระหายน้ำมากผิดปกติ  ก็ควรปรึกษาแพทย์ เพราะหากปล่อยไว้ อาจส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้ [embed-health-tool-bmi] สาเหตุที่ทำให้ หิวน้ำบ่อย อาการ กระหายน้ำบ่อย มากผิดปกติ อาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ กินอาหารเค็มมาก หรืออาหารรสเผ็ด มีอาการป่วย การออกกำลังกายหนัก ท้องเสีย อาเจียน เสียเลือดมาก กินยาบางประเภท เช่น ลิเทียม (Lithium) ยาขับปัสสาวะ (Diuretic) ยาระงับอาการทางจิตบางชนิด นอกจากนี้ อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพบางอย่าง ได้แก่ กระหายน้ำบ่อย จากภาวะขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำ คือภาวะที่ในร่างกายมีน้ำไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายเกิดอาการ กระหายน้ำบ่อย สำหรับสาเหตุของภาวะขาดน้ำ อาจเกิดจากการออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมาก ท้องเสีย และอาเจียน ซึ่งคุณอาจสังเกตได้จากอาการดังต่อไปนี้ ปัสสาวะสีเข้ม ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ปากแห้ง ผิวแห้ง รู้สึกเหนื่อย ปวดศีรษะ โรคเบาหวาน ทางการแพทย์เรียกภาวะที่ต้องการดื่มน้ำมากผิดปกติ ว่า Polydipsia ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรคเบาหวาน โดยเมื่อเป็นโรคเบาหวาน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ปวดหลังหลังกินอาหาร อย่าชะล่าใจ! เพราะอาจเกิดจากโรคร้ายแรงที่คุณคาดไม่ถึง

เชื่อว่าทุกคนคงเคยประสบกับอาการปวดหลัง ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหลังเรื้อรังที่เป็นมานานแสนนานไม่หายสักที หรืออาการปวดหลังเฉียบพลันที่อยู่ๆ ก็ทำให้เจ็บจี๊ดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อาการปวดหลังเกิดได้แทบจะทุกเวลา ไม่ว่าจะตอนนั่ง ตอนนอน ตอนเดิน หรือแม้แต่หลังกินอาหาร สำหรับใครที่มีอาการ ปวดหลังหลังกินอาหาร เป็นประจำ Hello คุณหมอ อยากบอกว่าอย่าชะล่าใจ เพราะถ้าปล่อยไว้นานวันอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ [embed-health-tool-bmr] สาเหตุของอาการ ปวดหลังหลังกินอาหาร อาการปวดหลังที่เกิดขึ้นหลังกินอาหาร อาจเกิดได้จากสาเหตุเหล่านี้ ท่านั่งไม่ถูกสุขลักษณะทำให้รู้สึก ปวดหลังหลังกินอาหาร หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เราเกิดอาการปวดหลังก็คือ ท่านั่งที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือไม่ดีต่อสุขภาพ นั่นเอง ระหว่างกินอาหาร หากคุณนั่งหลังค่อม นั่งห่อไหล่ หรือนั่งเก้าอี้ที่ไม่รองรับสรีระ อาจทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังมีปัญหา เมื่อกินอาหารเสร็จ จึงรู้สึกปวดหลัง ภูมิแพ้อาหารและภูมิแพ้อาหารแฝง สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้อาหาร หรือภูมิแพ้อาหารแฝง เช่น แพ้นม แพ้แอลกอฮอล์ แพ้กลูเตน แพ้น้ำตาล หากกินอาหารชนิดนั้นๆ เข้าไปก็อาจทำให้เกิดการอักเสบขึ้นได้ ยิ่งถ้าคุณปวดหลังอยู่ก่อนแล้ว การอักเสบจากการกินอาหารที่แพ้ก็จะยิ่งทำให้อาการปวดหลังของคุณแย่กว่าเดิม ภาวะหัวใจวาย ปวดหลังหลังกินอาหารอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจวาย โดยเฉพาะเมื่อปวดหลังร่วมกับอาการ เช่น เจ็บหน้าอก วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดแขน ขากรรไกร หรือคอ อาการจุกเสียด แสบร้อนกลางอก คนที่ปวดหลังหลังกินอาหารอาจเป็นผลมาจากอาการปวดแสบปวดร้อนกลางอก หรือที่เรียกว่า Heartburn เนื่องจากกรดไหลย้อน หรืออาหารไม่ย่อย มักเกิดขึ้นเมื่อคุณกินอาหารเร็วเกินไป หรือกินอาหารที่เปรี้ยวหรือเผ็ดจัด ถุงน้ำดีอักเสบ ถุงน้ำดีคือแหล่งกักเก็บน้ำดีที่ช่วยในการย่อยอาหารประเภทไขมัน หากคุณมีนิ่วในถุงน้ำดี […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กำลังควบคุมน้ำหนักห้ามพลาด ทำอย่างไร ไม่ให้ น้ำหนักขึ้น

ถ้าคุณมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าคุณมีน้ำหนักเกินและต้องการลดน้ำหนัก ควรระวังไม่ให้ น้ำหนักขึ้น ด้วย นอกจากนี้ยิ่งเราอายุมากขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าจะน้ำหนักขึ้น แม้ว่าจะกินอาหารปริมาณเท่าเดิม Hello คุณหมอ จึงมีเทคนิคที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักขึ้นมาฝาก ทั้งในผู้ที่กำลังลดความอ้วน และผู้ที่ไม่อยากน้ำหนักขึ้นในอนาคต ทำไมเราถึงน้ำหนักขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น องค์ประกอบของร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป นั่นคือสัดส่วนของกล้ามเนื้อลดลง และไขมันเพิ่มขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้การเผาผลาญพลังงานช้าลง และทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายด้วย มากไปกว่านั้นสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย เมื่ออายุมากขึ้นก็มีความเสี่ยงที่จะน้ำหนักขึ้นด้วย ข่าวดีคือการที่น้ำหนักขึ้นสามารถป้องกันได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งถ้าคุณมีน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี ก็จะช่วยป้องกันโรคเรื้อรังหลายโรค เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งบางชนิด เทคนิคแนะนำ ทำอย่างไรไม่ให้ น้ำหนักขึ้น เพิ่มกล้ามเนื้อ หนึ่งในวิธีที่ช่วยป้องกัน น้ำหนักขึ้น คือ การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อ (strength training) ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาและสร้างมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน และป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วย เลิกนิสัยที่ไม่ดีต่อสุขภาพ นิสัยต่างๆ เหล่านี้ควรปรับเปลี่ยน เพื่อให้สุขภาพดีมากขึ้น ไม่ออกกำลังกาย กินแบบไม่มีสติ เช่น กินไปดูทีวีไป ดื่มแอกอฮอล์ และเครื่องดื่มรสหวานมากเกินไป ไม่กินอาหารเช้า กินอาหารไม่เป็นเวลา กินโปรตีนไม่เพียงพอ ค่อยๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วิธีลดไขมัน ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลชัวร์

วิธีลดไขมัน นอกจากการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ส่งผลต่อน้ำหนัก และข่าวดีคือ มีวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถเพิ่มการเผาผลาญไขมัน Hello คุณหมอ จึงมีข้อมูลจากงานวิจัย ที่แนะนำวิธีที่อาจช่วยเผาผลาญไขมันได้ ดังต่อไปนี้ ลดน้ำหนัก VS ลดไขมันต่างกันอย่างไร ก่อนที่จะไปรู้วิธีลดไขมัน เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า ว่าลดไขมัน กับลดน้ำหนักนั้นต่างกันอย่างไร เวลาที่คุณลดน้ำหนัก อาจไม่ใช่แค่น้ำหนักของไขมันอย่างเดียว แต่รวมถึงน้ำหนักของกล้ามเนื้อ และของเหลวในร่างกายด้วย ซึ่งการลดความอ้วนที่ดีต่อสุขภาพ คือควรลดแค่ไขมันในร่างกาย และไม่ควรลดกล้ามเนื้อไปด้วย ดังนั้นจึงควรมุ่งไปที่การลดไขมัน แทนที่จะสนใจเพียงแค่ตัวเลขน้ำหนักที่ลดลงเพียงอย่างเดียว สำหรับวิธีการลดไขมัน คือต้องเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับต่อวัน ด้วยการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น รวมถึงควบคุมอาหารไม่ให้กินในปริมาณมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีวิธีที่สามารถช่วยลดไขมันได้ ดังนี้ วิธีลดไขมัน ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ยิ่งคุณใช้เวลาในการออกกำลังกายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากเวลาที่คุณออกกำลังกายร่างกายจะเผาผลาญแคลอรี่ เพื่อใช้เป็นพลังงาน เพิ่มเติมไปกว่านั้นหลังจากที่คุณออกกำลังกายเสร็จแล้ว ร่างกายก็ยังคงเผาผลาญแคลอรี่ต่อ สำหรับการออกกำลังกายที่แนะนำ เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน หรือการเดินเร็ว โดยอาจเพิ่มเวลาในการเดินเช่นจาก 30 นาทีเป็น 1 ชั่วโมง เพราะมีงานวิจัยชี้ว่าการออกกำลังกายนานขึ้น สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญในช่วงพัก หรือช่วงเวลาหลังจากออกกำลังกายได้ ออกกำลังกายแบบการฝึกกล้ามเนื้อ (Strength Training) การฝึกกล้ามเนื้อ (Strength Training) […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โรคลูปัสทำให้สมองขาดเลือดได้อย่างไร

ลูปัส (Lupus) เป็นอาการอักเสบแบบเรื้อรังที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายหันมาโจมตีเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของคุณเอง การอักเสบจากโรคลูปัสอาจเกิดขึ้นกับระบบร่างกายต่างๆ มากมาย รวมทั้งข้อต่อ ผิวหนัง ไต เม็ดเลือด สมอง หัวใจและปอด นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ด้วย โรคลูปัสทำให้สมองขาดเลือดได้อย่างไร วันนี้ Hello คุณหมอ มาพร้อมกับบทความดีๆ สัญญาณและอาการของโรคลูปัสมีอะไรบ้าง สัญญาณแสดงและอาการของโรคลูปัส สัญญาณแสดงและอาการที่พบบ่อยที่สุดได้แก่ เหนื่อยล้าและเป็นไข้ ปวดข้อต่อ ข้อแข็ง และบวม ผื่นรูปร่างปีกผีเสื้อที่ใบหน้าครอบคลุมบริเวณแก้มและสันจมูก แผลที่ผิวหนังที่ปรากฎหรือมีอาการแย่ลงเมื่อเจอแสงแดด นิ้วมือและนิ้วเท้าเปลี่ยนเป็นสีขาว หรือสีน้ำเงินในช่วงอากาศเย็นหรือเวลาเครียด หายใจถี่ ปวดหน้าอก ตาแห้ง ปวดศีรษะ สับสน และสูญเสียความทรงจำ  โรคลูปัสทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้อย่างไร เนื่องจากที่โรคลูปัสส่งผลกับอวัยวะหลายส่วนในร่างกาย จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ในหลายรูปแบบ โดยการกระตุ้นให้เกิดการก่อตัวของก้อนเลือด เพราะกิจกรรมที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สารภูมิต้านทานในผู้ป่วยโรคลูปัสอาจจู่โจมเนื้อเยื่อของเซลล์ภายในหลอดเลือด ซึ่งสามารถทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งหลอดเลือดชั้นลึกบริเวณขา ในห้องหัวใจ และเส้นเลือดใหญ่ที่ศีรษะ ในบางกรณี ลิ่มเลือดเหล่านี้อาจเคลื่อนไปสู่สมองและทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดจากการอุดตันลิ่มเลือด (embolic strokes) ได้ การทำงานของสารภูมิต้านทานที่ผิดปกติในโรคลูปัสอาจทำให้เกิดการทำงานของการก่อตัวลิ่มเลือดที่ผิดปกติได้ รวมทั้งสารต้านการเกาะลิ่มเลือดลูปัส (Lupus anticoagulant) และ anticardiolipin antibodies ในผู้ป่วยโรคลูปัสบางราย สิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขนาดเล็กของสารภูมิต้านทาน เซลล์ภูมิคุ้มกันที่ผสมกับแร่ธาตุ โปรตีน และสารอื่นๆ ที่มาจากระบบภูมิคุ้มกัน อาจพบได้ในหัวใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้เมื่อถูกนำพาจากหัวใจไปยังสมอง ภาวะแทรกซ้อนอีกอย่างของโรคลูปัสคือภาวะหลอดเลือดอักเสบ (vasculitis) ในภาวะนี้ หลอดเลือดจะเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงมากจนเลือดไหลผ่านไม่ได้เลย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งเมื่อเกิดขึ้นกับหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปยังสมอง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน