ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อข้องใจ ทำไมกินยาแล้วต้องห้ามกินเหล้า

เวลาที่คุณไปซื้อยาที่ร้านขายยา คุณอาจจะเคยได้ยินเภสัชกรให้คำแนะนำว่าไม่ควรดื่มสุราขณะที่กำลังใช้ยานั้น แต่หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเสียทีเดียวว่าการรับประทานยาพร้อมกับดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นจะส่งผลอย่างไร หรือเป็นอันตรายอะไรต่อร่างกาย บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจว่าทำไม แอลกอฮอล์กับยา จึงไม่ควรกินร่วมกัน แอลกอฮอล์กับยา ทำปฏิกิริยากันอย่างไร ปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับยานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักดังนี้ ปฏิกิริยาทางเภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamic Interactions) ปฏิกิริยานี้หมายถึง ปฏิกิริยาที่ทำให้ผลข้างเคียงของยาเพิ่มมากขึ้น เช่น หากยาตัวหนึ่งมีผลข้างเคียงคือทำให้ง่วงนอน แล้วคุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงนอนของยานั้นก็จะเพิ่มมากขึ้น และทำให้คุณง่วงนอนหนักกว่าเดิม ปฏิกิริยานี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอน เช่น ยาแก้แพ้ การเพิ่มขึ้นของผลข้างเคียง อย่างอาการง่วงนอนนี้ จะทำให้ผู้ใช้ยามีปัญหากับการมีสติสัมปชัญญะ การรวบรวมสมาธิ การตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับรถหรือใช้เครื่องจักร และทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ปฏิกิริยาทางเภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic Interactions) ปฏิกิริยานี้หมายถึง ปฏิกิริยาที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการดูดซึมยา หรือกระบวนการกำจัดยาออกจากร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เช่น ทำให้ดูดซึมยามากขึ้นกว่าปกติ และทำให้ฤทธิ์ของยาแรงขึ้น หรือทำให้การกำจัดยาออกจากร่างกายได้เร็วกว่าที่ควร ทำให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ แอลกอฮอล์นั้นจะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ต่างๆ ที่อยู่ในตับ ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้ก็เป็นเอนไซม์เดียวกันกับเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายยาหลายๆ ประเภทด้วยเช่นกัน ดังนั้น การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปพร้อมกับการรับประทานยา จะทำให้เอนไซม์ตับเหล่านี้ต้องทำงานอย่างหนักมากขึ้นเพื่อย่อยสลายทั้งยาและแอลกอฮอล์พร้อมกับ ปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับยาเหล่านี้สามารถทำให้ยาบางชนิดทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ หรือทำให้ยาบางชนิดเกิดการสะสมค้างอยู่ในร่างกาย จนกลายเป็นพิษได้ ยาอะไรบ้างที่อาจจะทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (The National Institute of Health) ได้ทำการวิจัยกับคนกว่า 26,000 คน เพื่อหาปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับยา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำไมเมื่อยล้าถึงต้องมองสีเขียว สี มีอิทธิพลต่อร่างกายจริงหรือ?

คุณเป็นคนที่ชอบเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวตามสีที่ชอบหรือเปล่า? แม้จะเป็นสิ่งของที่ชอบแต่หากไม่มีสีที่คุณชอบ คุณก็เลือกที่จะรอให้ของสิ่งนั้นผลิตสีที่คุณชอบออกมาหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณต้องไม่พลาดหาคำตอบเรื่องอิทธิพลของ สี กับบทความนี้จาก Hello คุณหมอ สี มีอิทธิพลกับเราอย่างไร โลกของเราเต็มไปด้วยสีสันต่างๆ มากมาย สีสันเหล่านั้นแต่งแต้มให้สิ่งต่างๆ ดูมีชีวิตชีวา สวยงาม และสร้างสรรค์ แต่สีไม่ได้เกิดมาเพียงสร้างสีสันสวยงามเท่านั้น เพราะสียังมีอิทธิพลต่อผู้พบเห็นได้เช่นกัน สีสามารถเปลี่ยนอารมณ์และพฤติกรรม รวมถึงเสริมความมั่นใจให้คุณได้เป็นอย่างดี สีมีอิทธิพลต่อคนเราไม่น้อย ซึ่งคุณอาจได้ประโยชน์จากสี ดังนี้ สีช่วยเสริมความจำ สีมีผลต่อความจำของคนเรา เวลาที่เห็นสีแดงเราจะจำได้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณของคำเตือน ในขณะที่เวลาเราเห็นสีเขียวร่างกายจะจำได้ว่านี่เป็นสัญญาณของความสบายใจ รวมถึงการใช้ปากกาสีบันทึกข้อความต่างๆ ก็จะช่วยให้เราสามารถจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ สีกับนาฬิกาชีวิต นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า โทนสีฟ้าสว่างสดใส จะช่วยในการรีเซ็ตนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) ของคุณ ซึ่งนาฬิกาชีวภาพหรือนาฬิกาชีวิตที่ว่านี้ ก็คือระบบวงจรการทำงานภายในร่างกายของมนุษย์ตลอด 24 ชั่วโมง จากงานวิจัยยังพบอีกว่า สีฟ้าเป็นสีของพลังบวก ยิ่งมองสีฟ้ามากเท่าไหร่ก็จะช่วยคลายความเครียดและความกดดันลงได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่เรามองไปยังท้องฟ้ากว้างแล้วจะรู้สึกสดชื่นและสบายใจ เสมือนว่าร่างกายได้รับการฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าและความเครียดที่รุมเร้า สีกับความคิดสร้างสรรค์ นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าสีเขียวจะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของคนทำงานและคนทั่วไปได้ เมื่อเปรียบเทียบกับสีเทา สีขาว สีแดง และสีฟ้า พบว่าสีเขียวสามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ดีกว่า ดังนั้นหากใครที่กำลังจะแต่งบ้าน หรือทำออฟฟิศใหม่ การมีพื้นที่สีเขียว หรือผนังสีเขียว ก็จะช่วยให้ผู้ที่อาศัยได้รับประโยชน์ในส่วนนี้ สีกับอาหารการกิน มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าสีสันในจานอาหาร ช่วยให้คุณเจริญอาหารได้มากขึ้น คุณสามารถที่จะรับประทานได้มากขึ้นหากในเมนูนั้นๆ มีสีสันจับตา มองดูแล้วน่ารับประทาน โดยจะเห็นว่าเวลาที่มีอาหารวางเรียงรายอยู่มากมาย เรามักจะเลือกตักอาหารที่มีสีสันสวยงามชวนรับประทานก่อนเสมอ  […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ย้อมสีผม เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งจริงหรือ?

การ ย้อมสีผม มีด้วยกันหลากหลายวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการย้อมเพื่อแฟชั่น หรือแม้แต่การย้อมสีผมเพื่อปกปิดผมขาว แต่รู้หรือไม่ว่า ยาย้อมสีผมนั้นมีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้เช่นกัน ดังนั้นการทำตามคำแนะนำในบรรจุภัณฑ์จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ย้อมสีผม ทำให้เป็นมะเร็งได้จริงหรือ จากการศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการย้อมสีผมจะทำให้เป็นมะเร็งได้หรือไม่นั้น ยังมีความขัดแย้งและไม่สามารถสรุปได้ แต่อย่างไรก็ตามจากการวิจัยที่มีอยู่นั้นดูเหมือนว่า การย้อมสีผมสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้เป็นอย่างมาก ในปี 2010 องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (International Agency for Research on Cancer) สรุปเอาไว้ว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาว่าการใช้สีย้อมผมนั้นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหรือไม่ แต่ก็มีการวิจัยเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ ครั้งหนึ่งสีย้อมผมเคยมีสารเคมีที่เป็นที่รู้จักว่าเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ ดังนั้นระหว่างปี 1980 และปี 1982 สีย้อมผมทั้งหมดจึงได้รับการปรับรูปแบบให้แยกสารเคมีเหล่านี้ออก แต่ความจริงก็คือ ยิ่งได้รับและสัมผัสกับสารก่อมะเร็งในปริมาณมากเท่าไหร่โอกาสที่จะเป็นมะเร็งก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งจากสีย้อมผม ได้แก่ ช่างทำผมที่ทำงานกับสีย้อมผม ผู้ที่เริ่มย้อมผมมาเป็นเวลานาน ผู้ที่ย้อมสีผมบ่อยๆ และความเข้มของสีย้อมผม โดยสีย้อมผมสีเข้ม เช่น ดำ และน้ำตาล จะมีสารเคมีที่อาจเป็นสารก่อมะเร็งมากกว่าสีอ่อน สัญญาณของปัญหาที่เกิดจากการย้อมสีผม สำหรับสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังได้รับปัญหาจากการย้อมสีผม ได้แก่ ความแดงของหนังศีรษะที่เกิดจากการระคายเคือง อาการคัน หนังศีรษะเป็นเกล็ดหรือแผลพุพอง ผมมีสภาพอ่อนแอลง ไม่มีชีวิตชีวา ผมร่วง ซึ่งถ้าเกิดอาการเหล่านี้อย่างรุนแรง และนานกว่า 2 วัน ขอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์จะเป็นการดีที่สุด สีสำหรับ ย้อมสีผม ประเภทไหนที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับสีย้อมผมนั้นมีด้วยกัน 2 แบบ โดยรูปแบบจะแตกต่างกันสำหรับวิธีการย้อมผม และระยะเวลาของสีที่จะติดอยู่บนเส้นผมนั่นเอง ยาย้อมผมออกซิเดทีฟ (Oxidative) […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แต่งงานในเครือญาติ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงหรือ?

โดยปกติแล้ว คนทั่วไปมักจะไม่นิยมมี แต่งงานในเครือญาติ เนื่องจากกลัวว่าเด็กที่เกิดมานั้นอาจจะมีข้อบกพร่องต่าง ๆ นอกจากนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ในเครือญาติ ยังเป็นเรื่องที่ดูไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว ความสัมพันธ์ภายในเครือญาติก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจมีเหตุผลมาจากวัฒนธรรม ต้องการรักษาสายเลือด หรือการสร้างพันธมิตรทางการเมือง เป็นต้น [embed-health-tool-heart-rate] เลือดชิด คือ อะไร หากพูดถึงคำว่า “ลูกพี่ลูกน้อง” แล้ว ในความเป็นจริงลูกพี่ลูกน้องนั้นมีหลายประเภทด้วยกัน แต่ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 1 มักจะเป็นญาติที่เราสนิทมากที่สุด แต่ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 2 และ 3 นั้นอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ลองมาดูข้อมูลเหล่านี้กันดู ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 1 คือ ลูกของลุงหรือป้า ซึ่งเป็นพี่น้อง หรือลูกพี่ลูกน้องกับพ่อหรือแม่ของเรา ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 2 คือ ลูกของลูกพี่ลูกน้อง หรือเรียกง่ายๆ ว่าหลานของลุง หรือหลานของป้า ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 3 คือ หลานของลูกพี่ลูกน้อง หรือเรียกง่ายๆ ว่า เหลนของลุง หรือเหลนของป้า แต่งงานในเครือญาติ กับข้อเท็จจริงที่ควรรู้ ในบางวัฒนธรรมมีข้อห้ามในการแต่งงานระหว่างเครือญาติ ซึ่งเป็นรากฐานมาจากกฎเกณฑ์และกฎหมายต่อต้านการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง นอกจากนั้นก็ยังเป็นเรื่องของความกังวลทางพันธุกรรมอีกด้วย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ผู้ที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด อาจจะแบ่งปันยีนที่มีปัญหาต่างๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ลักษณะ ลิ้นบอกโรค รู้โรคได้ เพียงแค่ตรวจลิ้น

ลิ้น เป็นหนึ่งในอวัยวะภายในช่องปากที่สำคัญของร่างกาย ทำให้เราสามารถรับรสชาติหรือพูดให้ชัดถ้อยชัดคำได้ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ลิ้นสามารถบ่งบอกถึงสภาวะสุขภาพบางอย่างของคุณได้อีกด้วยเช่นกัน มารับรู้ถึงลักษณะของ ลิ้นบอกโรค ที่น่าสนใจไปพร้อมกันกับ Hello คุณหมอกันเลย ลักษณะ ลิ้นบอกโรค ที่ทุกคนควรรู้ ลิ้น เป็นฝ้าขาว หาก ลิ้น ของคุณเป็นฝ้าขาวทั่วทั้งลิ้น (Leukoplakia) ซึ่งเป็นอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป อาการฝ้าขาวนี้อาจเกิดจากการสูบบุหรี่หรือสารระคายเคืองอื่น ๆ หรืออาจเกิดจากการดูแลสุขภาพในช่องปากได้ไม่ดีพอ ไม่ยอมแปรงลิ้น ทำให้มีเศษอาหารและเชื้อโรคเกาะอยู่และเกิดเป็นฝ้าขาวที่ลิ้น อาการฝ้าขาวนี้จะค่อย ๆ สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ อาการฝ้าขาวนี้อาจสามารถเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ทำให้เกิดเป็นรอยฝ้าขาวหม่นคล้าย cottage cheese การติดเชื้อราในช่องปากนี้จะพบได้มากในเด็กทารกหรือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกจากนี้การเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน หรือใช้ยาบางชนิด เช่น ยาพ่นสเตียรอยด์สำหรับโรคหอบหืด ก็สามารถทำใหเกิดการติดเชื้อราในช่องปากได้และทำให้ลิ้นเกิดฝ้าขาวได้เช่นกัน ลิ้นเป็นสีแดง หาก ลิ้น ของคุณมีลักษณะเป็นสีแดง อาจหมายถึงการขาดวิตามินอย่าง กรดโฟลิค หรือวิตามินบี 12 หรืออาจจะหมายถึงภาวะลิ้นลายแผนที่ (Geographic tongue) ทำให้เกิดเป็นจุดสีแดงขึ้นบนลิ้น จุดผดผื่นสีแดงนี้จะมีรอยสีขาวรอบนอก และสามารถเปลี่ยนตำแหน่งบนลิ้นไปได้เรื่อย ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จักกับ ฮอร์โมนเมลานิน ตัวการทำให้ลืมความฝัน

เคยไหมอยากจำเรื่องราวในความฝันแค่ไหน แต่พอตื่นมาก็ดันลืมหรือจำได้แค่เพียงลางๆ ทุกที ฝันของเรานั้นมาจากกระบวนการทำงานของสมองที่ฉายภาพต่าง ๆ ทั้งสิ่งที่มีอยู่จริงและสิ่งที่เกิดจากจินตนาการ วันนี้ Hello คุณหมอจะพามารู้จักกับตัวการที่ทำให้เราลืมความฝัน มีชื่อเรียกกันว่า ฮอร์โมนเมลานิน (Melanin) รู้หรือไม่? การนอนหลับเป็นแบ่งระยะได้ด้วยนะ ก่อนจะเข้าสู่ภวังค์แห่งความฝัน บางคนอาจมีอาการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแบบฉับพลัน หรือบางคนเห็นแค่เพียงภาพดำๆเท่านั้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็รุ่งเช้าแล้ว โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแบ่งได้ทั้งหมด 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 : ระยะหลับตื้น (Light Sleep) เป็นการนอนหลับเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เช่น การพักสายตา ระยะที่ 2 : ระยะหลับตื้นจนไปถึงหลับลึก เช่น การนอนในเวลากลางวัน ระยะที่ 3 : ระยะหลับลึก (Deep Sleep) เป็นการพักผ่อนในเวลาที่เราเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียแต่ยังไม่ถึงกับเกิดความฝัน ระยะที่ 4 : ระยะการหลับลึกจนทำให้เกิดความฝัน เรียกอีกอย่างได้ว่า REM (Rapid Eye Movement) Sleep หรือ การเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็ว การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มจากอะไรเป็นอันดับแรก… สร้างกิจวัตรก่อนนอน โดยการฝึกให้นอนหลับในระยะเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันทุกคืน เตรียมร่างกายจิตใจและสมองให้พร้อมสำหรับการนอน เช่น หยุดคิดเรื่องต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการคิดมาก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ล้างจมูก ทำอย่างไรจึงจะถูกต้องและดีต่อสุขภาพ

การ ล้างจมูก หลายๆคนฟังแล้วอาจจะยังไม่คุ้นหู และอาจจะรู้สึกกลัวเมื่อเห็นขั้นตอนการทำ แต่จริงๆการล้างจมูกทำได้ไม่ยากและไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ  โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคภูมิแพ้ ไซนัส ไอเรื้อรัง หากทำการล้างจมูก เป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหวัดได้  หากอยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น นอน หลับสบาย  ตื่นมาสดชื่นไม่เพลีย วันนี้ Hello คุณหมอนำวิธีการล้างจมูกที่ถูกต้องและดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ ลองไปปฎิบัติทำตามขั้นตอนกันดูนะคะ รับรองว่าสุขภาพดี ขึ้นห่างไกลโรคหวัดแน่นอน การล้างจมูก คือ การ ล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการใส่หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูก การล้างจมูกจะช่วยชะล้างมูก คราบมูก หรือหนองบริเวณโพรงจมูก และหลังโพรงจมูกออก ทำให้โพรงจมูกสะอาด ควรใช้น้ำเกลือล้างจมูกที่ความเข้มข้น 0.9% (ความเข้มข้น 0.9% ช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค) ประโยชน์ของการล้างจมูก มีอะไรบ้าง บรรเทาอาการระคายเคือง อาการคัดแน่นจมูก ช่วยให้จมูกโล่งขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหวัดต่างๆภูมิแพ้ อาการไอเรื้อรัง ป้องกันการลุกลามเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก ช่วยลดน้ำมูกหรือหนองที่อุดอยู่บริเวณรูเปิดของโพรงไซนัส ช่วยลดการอักเสบของไซนัส ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ลดปริมาณการใช้ยาในการรักษาโรคภูมิแพ้ และโรคไซนัส  ช่วยป้องกันการเกิดพังผืดที่อาจทำให้รูจมูกหรือไซนัสตีบแคบ อาการดังต่อไปนี้ ควรล้างจมูก  เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อย เป็นโรคจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ เป็นไซนัส หรือได้รับการผ่าตัดจมูก เป็นโรคริดสีดวงจมูก ได้รับการฉายแสงบริเวณจมูก/หรือไซนัส อุปกรณ์ในการล้างจมูก น้ำเกลือ (ความเข้มข้น 0.9%) กระดาษทิชชู่ ถ้วยสำหรับใส่น้ำเกลือ 1 ถ้วย กระบอกฉีด+ภาชนะรองน้ำจมูก ขั้นตอน-วิธีการล้างจมูก  ล้างมือให้สะอาด เทน้ำเกลือใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือจนเต็ม โน้มตัวไปข้างหน้าก้มหน้าเล็กน้อย สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้างเล็กน้อย โดยวางปลายกระบอกฉีดยาชิดรูจมูกด้านบน หายใจทางปากหรือกลั้นหายใจ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก จนน้ำเกลือและน้ำมูกไหลออกทางปาก หรือไหลย้อนออกมาทางจมูกอีกข้าง สั่งน้ำมูกพร้อมๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

หยุดล้อเรื่องอ้วนกันสักที! ผลการวิจัยเผย โดนล้อว่าอ้วน ไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

การล้อเลียนผู้อื่นเรื่องน้ำหนัก เป็นอีกหนึ่งการล้อเลียนยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่มักใช้ล้อเลียนเพื่อนของตน โดยผู้พูดหวังดีต่อเพื่อนคิดว่าหากล้อเลียนออกไป ผู้ถูกล้อจะเอาคำล้อเลียนมาเป็นแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วการโดนล้อกลับไม่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้เลยสักนิด แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตอีกด้วย บางครั้งความหวังดี อาจกลายเป็นเหมือน ความประสงค์ร้าย โดยที่เราไม่รู้ตัว  วันนี้ Hello คุณหมอมีเคล็ดลับดีๆในการช่วยให้เพื่อนของคุณลดน้ำหนักได้สำเร็จโดยไม่ต้องล้อเลียนเพื่อน กับบทความเรื่อง หยุดล้อเรื่องอ้วนกันสักที! ผลการวิจัยเผย โดนล้อว่าอ้วน ไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ กันค่ะ น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เป็นเรื่องซับซ้อน ปัจจุบันประชากรโลกกว่า 1,900 ล้านคน กำลังเผชิญภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน แต่การล้อเรื่องอ้วน หรือจิกกัดว่าเขาอ้วน ก็ไม่ได้ช่วยให้คนที่มีปัญหาเหล่านี้สามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ งานศึกษาวิจัยมากมายจากทั่วโลกยืนยันว่า โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกินนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องมีวิธีจัดการกับปัญหานี้เป็นรายบุคคลไป วิธีลดน้ำหนักและการกินอาหารรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่สามารถใช้ได้กับคนทุกคน นักวิทยาศาสตร์ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้และเผยว่า ปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนไม่ได้มีสาเหตุมาจากการควบคุมตัวเองหรือวินัยในตัวเองอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ส่งผลต่อโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินอีก เช่น ความยากจน การเข้าถึงบริการสุขภาพ การศึกษา กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน โรคเรื้อรัง ยิ่งโดนล้อว่าอ้วน ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้คนมีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ตามตั้งใจ อีกทั้งนักวิทยาศาสตร์ยังกล่าวอีกว่า การล้อเรื่องอ้วนนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนที่โดนล้อว่าอ้วนแย่ลง เพราะจะทำให้พวกเขาเครียด จนเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า หรือร้ายแรงถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายได้เลย เคล็ดลับดีๆ ในการช่วยเพื่อนลดน้ำหนักให้สำเร็จ แม้การล้อเลียนหรือจิกกัดคนอื่นว่าอ้วนจะเป็นเรื่องไม่ดีและไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง แต่หากเราสังเกตเห็นว่าเพื่อนหรือคนใกล้ชิด มีน้ำหนักเกินคนเริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของเขา เราก็ควรช่วยสนับสนุนให้เขาลดน้ำหนักให้ได้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จักกับ ประสาทสัมผัส พื้นฐานทั้ง 5 ที่มนุษย์มี

มนุษย์มี ประสาทสัมผัส หลักอยู่ 5 แบบ คือ การสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน กลิ่น รสสัมผัส อวัยวะที่รับ ประสาทสัมผัส จะทำงานร่วมกับประสาทสัมผัสเพื่อส่งข้อมูลไปยังสมองซึ่งช่วยให้เราเข้าใจและรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวเรา นอกจากนี้คนเราก็ยังมีประสาทสัมผัสอื่นๆอีก แต่วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาไปทำความรู้จักกับประสาทสัมผัสเบื้องต้น 5 อย่าง ว่ามีหลักการทำงานอย่างไร [embed-health-tool-bmi] ประสาทสัมผัส พื้นฐานทั้ง 5 ที่เรามี การ สัมผัส การสัมผัส ถือเป็นประสาทสัมผัสรูปแบบแรก ที่มนุษย์มีการพัฒนาขึ้น คนเรารับรู้ การสัมผัส ได้ด้วยการสื่อสารไปยังสมองผ่านทางเส้นประสาทพิเศษในผิวหนัง นอกจากนี้คนเรารับรู้ถึงแรงดัน อุณหภูมิ การสั่น ความเจ็บปวด ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของประสาทสัมผัสในรูปแบบการสัมผัสทั้งสิ้น โดยที่เราจะรับรู้ได้ผ่านทางตัวรับที่แตกต่างกันในผิวหนัง การ สัมผัส ไม่ใช่สิ่งที่เรารับรู้ได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการสื่อสารแบบอวัจนภาษารูปแบบหนึ่ง เช่น เมื่อเพื่อนเสียใจเราเพียงตบบ่า ลูบหลังปลอบใจเท่านี้เพื่อนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใจที่เราส่งผ่านการสัมผัสได้เช่นกันหรือการกอดก็เป็นการแสดงความรักผ่านการสัมผัสรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้การสัมผัสยังเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของมนุษย์ จากการวิจัย 6 ชิ้นของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยล พบว่า ผิวสัมผัสมีผลต่อแนวคิดและจินตนาการของมนุษย์ การที่เราได้สัมผัสสิ่งที่มีพื้นผิวแตกต่างกันจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจและรับรู้ได้ว่าสิ่งที่สัมผัสคืออะไร การมองเห็น การมองเห็น หรือการรับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านดวงตา เป็นหนึ่งใน ประสาทสัมผัส ที่มีความสำคัญและเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนมาก ๆ โดยการรับรู้ผ่านดวงตาจะเริ่มจากแสงได้กระทบวัตถุแล้วส่งมาที่ดวงตา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

มนุษย์กับชิมแปนซี เครือญาติหน้าขนกับวิถีชีวิตที่เเตกต่าง

หลายคนอาจพอทราบกันมาบ้างแล้วว่า ดีเอ็นเอในเซลล์ของเรานั้นส่งผลให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน และสามารถบอกได้ด้วยว่าเราใกล้ชิดกับมนุษย์คนใดมากแค่ไหน แต่ไม่ใช่แค่กับมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น เพราะความจริงแล้ว มนุษย์กับชิมแปนซีก็มีดีเอ็นเอใกล้เคียงกันมากถึงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แล้วหากเป็นเช่นนั้น ทำไม?…มนุษย์กับชิมแปนซี ถึงมีลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมแตกต่างกันมากขนาดนี้ เราลองไปหาคำตอบในบทความจาก Hello คุณหมอ กันเลย มนุษย์กับชิมแปนซี… ความเหมือนที่แตกต่าง ลิงชิมแปนซีและมนุษย์ ต่างก็จัดเป็นสัตว์ตระกูลไพรเมต (primate family) ซึ่งเป็นกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาและความสามารถสูงสุด มีดวงตามองตรงไปข้างหน้า (forward facing eyes) มีมือและเท้าสำหรับจับหรือยึดเกาะ แต่มนุษย์นั้นแตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มไพรเมตอื่นๆ ตรงที่มีความสามารถทางสติปัญญาและสมองใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือ ใหญ่กว่าถึงประมาณ 3 เท่า นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเปรียบเทียบดีเอ็นเอของ มุนษย์ ชิมแปนซี และโบโนโบหรือชิมแปนซีแคระ และพบว่า ดีเอ็นเอของมนุษย์กับชิมแปนซีนั้นมีความคล้ายคลึงกันถึง 98.8 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ที่ดีเอ็นเอของมนุษย์กับชิมแปนซีคล้ายกันมากถึงเพียงนี้ เป็นเพราะมนุษย์กับชิมแปนซีมีสปีชีส์ใกล้กันมาก ทั้งมนุษย์ ชิมแปนซี และโบโนโบต่างก็มาจากบรรพบุรุษเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ในโลกเมื่อ 6-7 ล้านปีก่อน จากนั้น มนุษย์และชิมแปนซีก็ค่อยๆวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ รวมถึงดีเอ็นอีที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอนี่เองที่ทำให้มนุษย์กับชิมแปนซีมีลักษณะรูปร่างและพฤติกรรมแตกต่างกันเช่นปัจจุบัน แม้ดีเอ็นเอจะคล้ายคลึงกันถึง 98.8 เปอร์เซ็นต์ แต่เซลล์ของมนุษย์แต่ละคนก็มีดีเอ็นเอเป็นองค์ประกอบมากถึงประมาณ 3,000 ล้านคู่เบส แค่จำนวน 1.2 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน