ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

โรคไวรัสตับอักเสบบี คือโรคอะไร ใครควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นหนึ่งในไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เป็นชนิดที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง มีเพียงยาที่ช่วยไม่ให้ตับถูกทำลาย โรคไวรัสตับอักเสบบี จึงเป็นโรคที่ควรตรวจคัดกรองเพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี  [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคตับอักเสบชนิดหนึ่ง หรือเกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับ สาเหตุจากการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อาจทำให้เซลล์ตับตาย ความรุนแรงของโรคไวรัสตับอักเสบ บี เมื่อเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด อาจกลายเป็นตับแข็ง นำสู่โรคมะเร็งตับได้  การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  ส่วนใหญ่การติดต่อของโรคเกิดจากการถ่ายทอดจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ทารก ไม่ติดต่อผ่านทางการสัมผัสภายนอก ไม่ติดต่อหลักทางน้ำลาย แต่ติดต่อได้ ดังนี้ สามารถเกิดได้จากการเจาะหรือสักผิวหนัง ด้วยเครื่องมือที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน เชื้อเข้าทางบาดแผล หรือการใช้ยาเสพติด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน  สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะไม่แสดงอาการในทันที แต่จะใช้เวลาฟักตัว 2-3 เดือน จึงเริ่มมีอาการ เช่น เกิดการอ่อนเพลียคล้ายกับโรคหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต  สีปัสสาวะเข้มขึ้น […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ลักษณะ ลิ้นบอกโรค รู้โรคได้ เพียงแค่ตรวจลิ้น

ลิ้น เป็นหนึ่งในอวัยวะภายในช่องปากที่สำคัญของร่างกาย ทำให้เราสามารถรับรสชาติหรือพูดให้ชัดถ้อยชัดคำได้ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ลิ้นสามารถบ่งบอกถึงสภาวะสุขภาพบางอย่างของคุณได้อีกด้วยเช่นกัน มารับรู้ถึงลักษณะของ ลิ้นบอกโรค ที่น่าสนใจไปพร้อมกันกับ Hello คุณหมอกันเลย ลักษณะ ลิ้นบอกโรค ที่ทุกคนควรรู้ ลิ้น เป็นฝ้าขาว หาก ลิ้น ของคุณเป็นฝ้าขาวทั่วทั้งลิ้น (Leukoplakia) ซึ่งเป็นอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป อาการฝ้าขาวนี้อาจเกิดจากการสูบบุหรี่หรือสารระคายเคืองอื่น ๆ หรืออาจเกิดจากการดูแลสุขภาพในช่องปากได้ไม่ดีพอ ไม่ยอมแปรงลิ้น ทำให้มีเศษอาหารและเชื้อโรคเกาะอยู่และเกิดเป็นฝ้าขาวที่ลิ้น อาการฝ้าขาวนี้จะค่อย ๆ สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ อาการฝ้าขาวนี้อาจสามารถเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ทำให้เกิดเป็นรอยฝ้าขาวหม่นคล้าย cottage cheese การติดเชื้อราในช่องปากนี้จะพบได้มากในเด็กทารกหรือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกจากนี้การเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน หรือใช้ยาบางชนิด เช่น ยาพ่นสเตียรอยด์สำหรับโรคหอบหืด ก็สามารถทำใหเกิดการติดเชื้อราในช่องปากได้และทำให้ลิ้นเกิดฝ้าขาวได้เช่นกัน ลิ้นเป็นสีแดง หาก ลิ้น ของคุณมีลักษณะเป็นสีแดง อาจหมายถึงการขาดวิตามินอย่าง กรดโฟลิค หรือวิตามินบี 12 หรืออาจจะหมายถึงภาวะลิ้นลายแผนที่ (Geographic tongue) ทำให้เกิดเป็นจุดสีแดงขึ้นบนลิ้น จุดผดผื่นสีแดงนี้จะมีรอยสีขาวรอบนอก และสามารถเปลี่ยนตำแหน่งบนลิ้นไปได้เรื่อย ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จักกับ ฮอร์โมนเมลานิน ตัวการทำให้ลืมความฝัน

เคยไหมอยากจำเรื่องราวในความฝันแค่ไหน แต่พอตื่นมาก็ดันลืมหรือจำได้แค่เพียงลางๆ ทุกที ฝันของเรานั้นมาจากกระบวนการทำงานของสมองที่ฉายภาพต่าง ๆ ทั้งสิ่งที่มีอยู่จริงและสิ่งที่เกิดจากจินตนาการ วันนี้ Hello คุณหมอจะพามารู้จักกับตัวการที่ทำให้เราลืมความฝัน มีชื่อเรียกกันว่า ฮอร์โมนเมลานิน (Melanin) รู้หรือไม่? การนอนหลับเป็นแบ่งระยะได้ด้วยนะ ก่อนจะเข้าสู่ภวังค์แห่งความฝัน บางคนอาจมีอาการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแบบฉับพลัน หรือบางคนเห็นแค่เพียงภาพดำๆเท่านั้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็รุ่งเช้าแล้ว โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแบ่งได้ทั้งหมด 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 : ระยะหลับตื้น (Light Sleep) เป็นการนอนหลับเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เช่น การพักสายตา ระยะที่ 2 : ระยะหลับตื้นจนไปถึงหลับลึก เช่น การนอนในเวลากลางวัน ระยะที่ 3 : ระยะหลับลึก (Deep Sleep) เป็นการพักผ่อนในเวลาที่เราเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียแต่ยังไม่ถึงกับเกิดความฝัน ระยะที่ 4 : ระยะการหลับลึกจนทำให้เกิดความฝัน เรียกอีกอย่างได้ว่า REM (Rapid Eye Movement) Sleep หรือ การเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็ว การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มจากอะไรเป็นอันดับแรก… สร้างกิจวัตรก่อนนอน โดยการฝึกให้นอนหลับในระยะเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันทุกคืน เตรียมร่างกายจิตใจและสมองให้พร้อมสำหรับการนอน เช่น หยุดคิดเรื่องต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการคิดมาก […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ล้างจมูก ทำอย่างไรจึงจะถูกต้องและดีต่อสุขภาพ

การ ล้างจมูก หลายๆคนฟังแล้วอาจจะยังไม่คุ้นหู และอาจจะรู้สึกกลัวเมื่อเห็นขั้นตอนการทำ แต่จริงๆการล้างจมูกทำได้ไม่ยากและไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ  โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคภูมิแพ้ ไซนัส ไอเรื้อรัง หากทำการล้างจมูก เป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหวัดได้  หากอยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น นอน หลับสบาย  ตื่นมาสดชื่นไม่เพลีย วันนี้ Hello คุณหมอนำวิธีการล้างจมูกที่ถูกต้องและดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ ลองไปปฎิบัติทำตามขั้นตอนกันดูนะคะ รับรองว่าสุขภาพดี ขึ้นห่างไกลโรคหวัดแน่นอน การล้างจมูก คือ การ ล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการใส่หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูก การล้างจมูกจะช่วยชะล้างมูก คราบมูก หรือหนองบริเวณโพรงจมูก และหลังโพรงจมูกออก ทำให้โพรงจมูกสะอาด ควรใช้น้ำเกลือล้างจมูกที่ความเข้มข้น 0.9% (ความเข้มข้น 0.9% ช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค) ประโยชน์ของการล้างจมูก มีอะไรบ้าง บรรเทาอาการระคายเคือง อาการคัดแน่นจมูก ช่วยให้จมูกโล่งขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหวัดต่างๆภูมิแพ้ อาการไอเรื้อรัง ป้องกันการลุกลามเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก ช่วยลดน้ำมูกหรือหนองที่อุดอยู่บริเวณรูเปิดของโพรงไซนัส ช่วยลดการอักเสบของไซนัส ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ลดปริมาณการใช้ยาในการรักษาโรคภูมิแพ้ และโรคไซนัส  ช่วยป้องกันการเกิดพังผืดที่อาจทำให้รูจมูกหรือไซนัสตีบแคบ อาการดังต่อไปนี้ ควรล้างจมูก  เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อย เป็นโรคจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ เป็นไซนัส หรือได้รับการผ่าตัดจมูก เป็นโรคริดสีดวงจมูก ได้รับการฉายแสงบริเวณจมูก/หรือไซนัส อุปกรณ์ในการล้างจมูก น้ำเกลือ (ความเข้มข้น 0.9%) กระดาษทิชชู่ ถ้วยสำหรับใส่น้ำเกลือ 1 ถ้วย กระบอกฉีด+ภาชนะรองน้ำจมูก ขั้นตอน-วิธีการล้างจมูก  ล้างมือให้สะอาด เทน้ำเกลือใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือจนเต็ม โน้มตัวไปข้างหน้าก้มหน้าเล็กน้อย สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้างเล็กน้อย โดยวางปลายกระบอกฉีดยาชิดรูจมูกด้านบน หายใจทางปากหรือกลั้นหายใจ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก จนน้ำเกลือและน้ำมูกไหลออกทางปาก หรือไหลย้อนออกมาทางจมูกอีกข้าง สั่งน้ำมูกพร้อมๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

หยุดล้อเรื่องอ้วนกันสักที! ผลการวิจัยเผย โดนล้อว่าอ้วน ไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

การล้อเลียนผู้อื่นเรื่องน้ำหนัก เป็นอีกหนึ่งการล้อเลียนยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่มักใช้ล้อเลียนเพื่อนของตน โดยผู้พูดหวังดีต่อเพื่อนคิดว่าหากล้อเลียนออกไป ผู้ถูกล้อจะเอาคำล้อเลียนมาเป็นแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วการโดนล้อกลับไม่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้เลยสักนิด แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตอีกด้วย บางครั้งความหวังดี อาจกลายเป็นเหมือน ความประสงค์ร้าย โดยที่เราไม่รู้ตัว  วันนี้ Hello คุณหมอมีเคล็ดลับดีๆในการช่วยให้เพื่อนของคุณลดน้ำหนักได้สำเร็จโดยไม่ต้องล้อเลียนเพื่อน กับบทความเรื่อง หยุดล้อเรื่องอ้วนกันสักที! ผลการวิจัยเผย โดนล้อว่าอ้วน ไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ กันค่ะ น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เป็นเรื่องซับซ้อน ปัจจุบันประชากรโลกกว่า 1,900 ล้านคน กำลังเผชิญภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน แต่การล้อเรื่องอ้วน หรือจิกกัดว่าเขาอ้วน ก็ไม่ได้ช่วยให้คนที่มีปัญหาเหล่านี้สามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ งานศึกษาวิจัยมากมายจากทั่วโลกยืนยันว่า โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกินนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องมีวิธีจัดการกับปัญหานี้เป็นรายบุคคลไป วิธีลดน้ำหนักและการกินอาหารรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่สามารถใช้ได้กับคนทุกคน นักวิทยาศาสตร์ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้และเผยว่า ปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนไม่ได้มีสาเหตุมาจากการควบคุมตัวเองหรือวินัยในตัวเองอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ส่งผลต่อโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินอีก เช่น ความยากจน การเข้าถึงบริการสุขภาพ การศึกษา กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน โรคเรื้อรัง ยิ่งโดนล้อว่าอ้วน ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้คนมีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ตามตั้งใจ อีกทั้งนักวิทยาศาสตร์ยังกล่าวอีกว่า การล้อเรื่องอ้วนนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนที่โดนล้อว่าอ้วนแย่ลง เพราะจะทำให้พวกเขาเครียด จนเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า หรือร้ายแรงถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายได้เลย เคล็ดลับดีๆ ในการช่วยเพื่อนลดน้ำหนักให้สำเร็จ แม้การล้อเลียนหรือจิกกัดคนอื่นว่าอ้วนจะเป็นเรื่องไม่ดีและไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง แต่หากเราสังเกตเห็นว่าเพื่อนหรือคนใกล้ชิด มีน้ำหนักเกินคนเริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของเขา เราก็ควรช่วยสนับสนุนให้เขาลดน้ำหนักให้ได้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จักกับ ประสาทสัมผัส พื้นฐานทั้ง 5 ที่มนุษย์มี

มนุษย์มี ประสาทสัมผัส หลักอยู่ 5 แบบ คือ การสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน กลิ่น รสสัมผัส อวัยวะที่รับ ประสาทสัมผัส จะทำงานร่วมกับประสาทสัมผัสเพื่อส่งข้อมูลไปยังสมองซึ่งช่วยให้เราเข้าใจและรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวเรา นอกจากนี้คนเราก็ยังมีประสาทสัมผัสอื่นๆอีก แต่วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาไปทำความรู้จักกับประสาทสัมผัสเบื้องต้น 5 อย่าง ว่ามีหลักการทำงานอย่างไร [embed-health-tool-bmi] ประสาทสัมผัส พื้นฐานทั้ง 5 ที่เรามี การ สัมผัส การสัมผัส ถือเป็นประสาทสัมผัสรูปแบบแรก ที่มนุษย์มีการพัฒนาขึ้น คนเรารับรู้ การสัมผัส ได้ด้วยการสื่อสารไปยังสมองผ่านทางเส้นประสาทพิเศษในผิวหนัง นอกจากนี้คนเรารับรู้ถึงแรงดัน อุณหภูมิ การสั่น ความเจ็บปวด ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของประสาทสัมผัสในรูปแบบการสัมผัสทั้งสิ้น โดยที่เราจะรับรู้ได้ผ่านทางตัวรับที่แตกต่างกันในผิวหนัง การ สัมผัส ไม่ใช่สิ่งที่เรารับรู้ได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการสื่อสารแบบอวัจนภาษารูปแบบหนึ่ง เช่น เมื่อเพื่อนเสียใจเราเพียงตบบ่า ลูบหลังปลอบใจเท่านี้เพื่อนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใจที่เราส่งผ่านการสัมผัสได้เช่นกันหรือการกอดก็เป็นการแสดงความรักผ่านการสัมผัสรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้การสัมผัสยังเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของมนุษย์ จากการวิจัย 6 ชิ้นของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยล พบว่า ผิวสัมผัสมีผลต่อแนวคิดและจินตนาการของมนุษย์ การที่เราได้สัมผัสสิ่งที่มีพื้นผิวแตกต่างกันจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจและรับรู้ได้ว่าสิ่งที่สัมผัสคืออะไร การมองเห็น การมองเห็น หรือการรับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านดวงตา เป็นหนึ่งใน ประสาทสัมผัส ที่มีความสำคัญและเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนมาก ๆ โดยการรับรู้ผ่านดวงตาจะเริ่มจากแสงได้กระทบวัตถุแล้วส่งมาที่ดวงตา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

มนุษย์กับชิมแปนซี เครือญาติหน้าขนกับวิถีชีวิตที่เเตกต่าง

หลายคนอาจพอทราบกันมาบ้างแล้วว่า ดีเอ็นเอในเซลล์ของเรานั้นส่งผลให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน และสามารถบอกได้ด้วยว่าเราใกล้ชิดกับมนุษย์คนใดมากแค่ไหน แต่ไม่ใช่แค่กับมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น เพราะความจริงแล้ว มนุษย์กับชิมแปนซีก็มีดีเอ็นเอใกล้เคียงกันมากถึงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แล้วหากเป็นเช่นนั้น ทำไม?…มนุษย์กับชิมแปนซี ถึงมีลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมแตกต่างกันมากขนาดนี้ เราลองไปหาคำตอบในบทความจาก Hello คุณหมอ กันเลย มนุษย์กับชิมแปนซี… ความเหมือนที่แตกต่าง ลิงชิมแปนซีและมนุษย์ ต่างก็จัดเป็นสัตว์ตระกูลไพรเมต (primate family) ซึ่งเป็นกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาและความสามารถสูงสุด มีดวงตามองตรงไปข้างหน้า (forward facing eyes) มีมือและเท้าสำหรับจับหรือยึดเกาะ แต่มนุษย์นั้นแตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มไพรเมตอื่นๆ ตรงที่มีความสามารถทางสติปัญญาและสมองใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือ ใหญ่กว่าถึงประมาณ 3 เท่า นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเปรียบเทียบดีเอ็นเอของ มุนษย์ ชิมแปนซี และโบโนโบหรือชิมแปนซีแคระ และพบว่า ดีเอ็นเอของมนุษย์กับชิมแปนซีนั้นมีความคล้ายคลึงกันถึง 98.8 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ที่ดีเอ็นเอของมนุษย์กับชิมแปนซีคล้ายกันมากถึงเพียงนี้ เป็นเพราะมนุษย์กับชิมแปนซีมีสปีชีส์ใกล้กันมาก ทั้งมนุษย์ ชิมแปนซี และโบโนโบต่างก็มาจากบรรพบุรุษเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ในโลกเมื่อ 6-7 ล้านปีก่อน จากนั้น มนุษย์และชิมแปนซีก็ค่อยๆวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ รวมถึงดีเอ็นอีที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอนี่เองที่ทำให้มนุษย์กับชิมแปนซีมีลักษณะรูปร่างและพฤติกรรมแตกต่างกันเช่นปัจจุบัน แม้ดีเอ็นเอจะคล้ายคลึงกันถึง 98.8 เปอร์เซ็นต์ แต่เซลล์ของมนุษย์แต่ละคนก็มีดีเอ็นเอเป็นองค์ประกอบมากถึงประมาณ 3,000 ล้านคู่เบส แค่จำนวน 1.2 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วัยรุ่นกับการศัลยกรรม : เมื่อสิ่งที่เปลี่ยนไป อาจไม่ใช่แค่รูปลักษณ์

ใครๆ ก็อยากดูดี โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่เริ่มรักสวยรักงาม เริ่มใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเอง ถึงขั้นที่วัยรุ่นบางคนสามารถอยู่หน้ากระจกได้เป็นชั่วโมงๆ หรือถ่ายรูปเซลฟี่ได้เป็นร้อยๆ รูป และเมื่อวัยรุ่นเริ่มไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ความนิยมในการทำศัลยกรรมพลาสติกเพื่อแก้ไขจุดบกพร่อง หรือเสริมความงามก็เริ่มสูงขึ้น แม้ วัยรุ่นกับการศัลยกรรม จะไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคปัจจุบัน แต่ก็มีหลายสิ่งที่วัยรุ่นที่อยากทำศัลยกรรมความงามต้องพิจารณา เพราะสิ่งที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย ทำไมวัยรุ่นถึงอยากทำศัลยกรรม รูปร่างหน้าตาถือเป็นสิ่งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ และสามารถส่งผลต่อสภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ได้ด้วย วัยรุ่นอยากทำศัลยกรรมก็เพื่อแก้ไขรูปร่างหน้าตาของตัวเองให้ดูดีขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นผลมาจากการโดนเพื่อนล้อเกี่ยวกับรูปลักษณ์ บ้างอาจเป็นเพราะอยากรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อน อยากเหมือนคนอื่น ไม่อยากรู้สึกแตกต่าง ยิ่งในปัจจุบันการเข้าถึงสื่อโซเชียลเป็นเรื่องง่ายดาย วัยรุ่นบางคนก็อาจอยากทำศัลยกรรมตามดารานักร้อง หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ตัวเองชอบ หรือวัยรุ่นบางคนก็อาจอยากทำศัลยกรรมเพราะรูปลักษณ์ปัจจุบันนั้นส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มีหน้าอกใหญ่เกินไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว การทำศัลยกรรมไม่เพียงแต่จะทำให้รูปร่างหน้าตาดีขึ้น แต่บางครั้งยังทำให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง หรือลดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ได้ด้วย วัยรุ่นกับการศัลยกรรม ที่นิยม การทำศัลยกรรมความงาม หรือศัลยกรรมพลาสติกที่วัยรุ่นนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ ศัลยกรรมจมูก เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของจมูกทั้งที่มีมาแต่กำเนิด หรือเป็นผลจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็น จมูกเบี้ยว จมูกเล็กไป จมูกใหญ่ไป ดั้งไม่มี เป็นต้น จมูกเป็นอวัยวะที่เป็นศูนย์กลางของใบหน้า ผู้คนทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยทำงานจึงนิยมศัลยกรรมจมูก หรือเสริมจมูกเพื่อทำให้จมูกดูชัด สวยงาม ได้รูปขึ้น โดยปกติแล้ว แพทย์จะทำศัลยกรรมจมูกให้ก็ต่อเมื่อจมูกเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว นั่นคือ ช่วงอายุ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กินผิด ชีวิตเปลี่ยน!! รู้ให้ชัวร์ วิธีกินยาคลายกล้ามเนื้อ ให้ถูกวิธี

อาการปวดเมื่อย ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวัยผู้สูงอายุเท่านั้นนะคะ แต่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัน โดยเฉพาะกิจกรรมที่เราใช้กล้ามเนื้อมากจนเกินไป หรือ กิจกรรมที่เราใช้กล้ามเนื้อทำท่าแบบเดิมๆ ซ้ำๆ โดยส่วนใหญ่เมื่อเราเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยก็มักจะไปซื้อยาที่ร้านขายยามารับประทานยาเองเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่หารู้ไม่ว่าการกินยาโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้ระเอียดแน่นอนนั้นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมา ถึงแม้ว่ายาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) จะหาซื้อได้ง่าย แต่เราต้องกินให้ถูกโรค ถูกอาการ จึงจะถูกต้องและปลอดภัยต่อสุขภาพ วันนี้  Hello คุณหมอนำ วิธีกินยาคลายกล้ามเนื้อ มาฝาก ลองศึกษารายละเอียดให้ถูกต้อง ก่อนรับประทานยา เพื่อสุขภาพที่ดีของเรากันนะคะ [embed-health-tool-bmr] ข้อบ่งใช้ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) คือ กลุ่มยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการตึงของกล้ามเนื้อ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทในสมองส่วนกลาง กล่อมประสาท ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ปัจจุบันในการรักษาอาการทางกล้ามเนื้อมีหลากหลายวิธีมากเลยค่ะ โดยอาการของแต่ละบุคคลจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ว่าเหมาะสมกับการรักษาแบบใด ผลข้างเคียง ยาคลายกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียงหลังการใช้ยา ดังนี้ วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย เมื่อยล้า มีผื่นคัน ผดผื่นแดง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ปากแห้ง คอแห้ง ใจสั่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง วิธีกินยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) มีทั้งในรูปแบบเม็ด 10 และ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ยาดม ภัยเงียบที่มาพร้อมกับความสดชื่น

ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวของบ้านเรานั้น หากมีตัวช่วยดีๆ ที่ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น ท่ามกลางอากาศร้อนระอุได้ ก็คงจะดีไม่น้อย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ยาดม จึงเป็นสิ่งที่ครองใจคนไทยแทบจะทุกคน บางคนพกยาดมติดตัวตลอดเวลา และดมยาดมแทบจะทั้งวัน จากวัตถุประสงค์ในการเพิ่มความสดชื่น แต่หากดมมากเกินไป ร่างกายอาจพบกับอันตรายได้ชนิดที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว เรามาเรียนรู้ถึงอันตรายของยาดมในบทความนี้ของ Hello คุณหมอ กันค่ะ สารประกอบใน ยาดม สารประกอบหลักๆ ในยาดม ประกอบไปด้วย เมนทอล การบูร พิมเสน น้ำมันหอมระเหย เมนทอล (Menthol) หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกัน คือ เกล็ดสะระแหน่ มีลักษณะเป็นผลึกเล็ก ๆ มีสีขาว เมนทอลใช้สำหรับรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อต่อ (เช่น โรคข้ออักเสบ ปวดหลัง เคล็ดขัดยอก) เมนทอลมีกลิ่นหอม และให้ความรู้สึกเย็น ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คัดจมูก ลดอาการปวด บวม และยังช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย การบูร (Camphor) คือ ผลึกที่พบในเนื้อไม้ของต้นการบูร การบูรมีสรรพคุณที่คล้ายกับเมนทอล มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และต้านการอักเสบ และยังช่วยในการทำงานของระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการปวด พิมเสน (Patchouli) มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

การกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion)

การกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion)  คือ การได้รับการกระทบกระเทือนที่ส่งผลต่อศีรษะของคุณโดยตรง  ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ฟกช้ำ ส่งผลให้ผู้ป่วย มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้และอาเจียน มองเห็นภาพซ้อน สูญเสียความทรงจำ  โดยการักษานั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล   การกระทบกระเทือนทางศีรษะ คืออะไรการกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion) คืออะไร การกระทบกระเทือนทางศีรษะ (Concussion)  คือ การได้รับการกระทบกระเทือนที่ส่งผลต่อศีรษะของคุณโดยตรง  ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ฟกช้ำ ส่งผลให้ผู้ป่วย มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้และอาเจียน มองเห็นภาพซ้อน สูญเสียความทรงจำ  โดยการักษานั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล ถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บแล้ว ยังสามารถส่งผลไปยังสมอง จนถึงขั้นอาจทำให้เสียชีวิตได้ พบได้บ่อยเพียงใด สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย  โดยเฉพาะในวันทารกและวัยเด็ก อาการอาการกระทบกระเทือนทางศีรษะ สัญญาณและอาการของการกระทบกระเทือนมีอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของบาดแผล และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางศีรษะจะส่งผลต่อทั้งทางด้านร่างกายและสภาพจิตใจ โดยมีอาการดังต่อไปนี้ สูญเสียความทรงจำ สับสน มึนงง ซึม หรือ อาการซึมเศร้า วิงเวียนศรีษะ  ปวดศีรษะ เห็นภาพซ้อน คลื่นไส้ อาเจียน ปัญหาด้านความสมดุล ปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสิ่งเร้าช้ากว่าปกติ ช่วงระยะเวลาที่กำลังพักฟื้นหลังจากได้รับการกระทบกระเทือนศีรษะนั้น คุณอาจมีอาการดังต่อไปนี้ หงุดหงิด อ่อนไหวต่อแสงและเสียงดัง ไม่มีสมาธิ ปวดศีรษะ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของการกระทบกระเทือนทางศีรษะ สาเหตุส่วนใหญ่ของการถูกกระทบกระเทือนทางศีรษะเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น การได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์  การถูกทำร้ายร่างกาย ปัจจัยเสี่ยงของการกระทบกระเทือนทางศีรษะ มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อสุขภาพร่างกายของเรา อย่างเช่น การเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหากมีอุปกรณ์ในการเล่นที่ไม่ปลอดภัย อยู่ในสถานการณ์เกิดอุบัติเหตุทางเท้าหรือจักรยาน เป็นทหารอยู่ในสนามรบ ตกเป็นเหยื่อในการทารุณกรรมทางร่างกาย หกล้ม หรือถูกกระแทก เกิดขึ้นได้ในเด็กและผู้สูงอายุ เคยถูกกระแทกมาแล้วก่อนหน้านี้ การวินิจฉัยและการรักษาข้อมูลที่ได้รับไปนั้นไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงจะดีกว่า การวินิจฉัยการกระทบกระเทือนทางศีรษะ ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการสอบถามประวัติและประเมินอาการ นอกจากนี้ยังทำการทดสอบอื่น ๆ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน