ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อสงสัย ยิ่งเหงื่อออกมาก เท่ากับ ยิ่งเผาผลาญมาก จริงเหรอ

หลายคนน่าจะเคยได้ยินความเชื่อที่ว่า เวลาออกกำลังกาย จะต้องออกให้มีเหงื่อเยอะ ๆ เพราะถ้าไม่มีเหงื่อ ก็ไม่ได้เผาผลาญ เหมือนกับไม่ได้ออกกำลังกาย แต่การที่เราออกกำลังกายจนมี เหงื่อออกมาก จะเท่ากับ เผาผลาญมาก จริงหรือเปล่า มาลองหาคำตอบร่วมกัน กับ Hello คุณหมอ กันเลยค่ะ เหงื่อ เกิดขึ้นได้อย่างไร เหงื่อ นั้นเป็นหนึ่งในกระบวนการขับของเสียตามธรรมชาติของร่างกาย เพื่อช่วยระบายความร้อนภายในร่างกายออกไป ทำให้ร่างกายเย็นลง เหงื่อนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนในร่างกาย แต่จะพบได้มากในบริเวณรักแร้ ใบหน้า ฝ่ามือ ข้อศอก และฝ่าเท้า ร่างกายของเรานั้นจะจะมีต่อมเหงื่ออยู่มากกว่า 3 ล้านต่อม ทั่วร่างกาย แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ ต่อม Eccrine sweat gland และต่อม Apocrine sweat gland Eccrine sweat gland ต่อมเหงื่อประเภทนี้จะอยู่ทั่วทุกส่วนในร่างกาย แต่จะพบได้มากในบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และหน้ามัก หน้าที่หลักของต่อมเหงื่อนี้คือขับเหงื่อเพื่อช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิของร่างกาย เหงื่อที่มาจากต่อมเหงื่อนี้จะไม่มีกลิ่น Apocrine sweat gland ต่อมเหงื่อชนิดนี้จะพบได้บริเวณที่มีรูขุมขนมาก เช่น รักแร้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ควันไฟป่า ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ควรรับมือหรือป้องกันอย่างไร

เมื่อเกิดไฟไหม้ป่าที่มีบริเวณกว้าง ก็จะนำพามาซึ่ง ควันไฟป่า ซึ่งเมื่อหากมีการสูดดมเข้าไปมาก ๆ ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและร่างกายของคุณได้ ดังนั้น เมื่อเกิดควันไฟป่า จะต้องดูแลและป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวอย่างไรบ้าง ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน ควันไฟป่า คืออะไร และส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร ควันไฟป่าเป็นส่วนผสมของก๊าซและอนุภาคขนาดเล็กที่เกิดจากการเผาไหม้ของพืช วัสดุก่อสร้าง และวัสดุอื่น ๆ โดยที่ควันไฟป่าสามารถทำให้ทุกคนป่วยได้ แม้แต่คนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงก็สามารถเจ็บป่วยได้ หากมีควันในอากาศมากเกินไป มากไปกว่านั้น การหายใจเอาควันเข้าไปยังสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ทันที ซึ่งผลกระทบจากควันไฟป่าที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ได้แก่ ไอ หายใจไม่ปกติ แสบตา คันคอ อาการน้ำมูกไหล รูจมูกระคายเคือง หายใจไม่ออกและหายใจถี่ เจ็บหน้าอก ปวดหัว โรคหอบหืด เหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว สำหรับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ เด็ก และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและหัวใจอยู่แล้ว อาจมีแนวโน้มที่จะป่วยได้ หากสูดดมควันไฟป่าเข้าไป สาเหตุที่ทำให้ ควันไฟป่า เป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อพูดถึงคุณภาพอากาศ หลายคนคงนึกถึงการวันที่เรียกว่า “PM2.5” ซึ่งมันสามารถทำให้ทราบได้ว่าอนุภาคขนาด 2.5 ไมครอนและขนาดเล็กกว่า ลอยอยู่ในอากาศจำนวนเท่าใด Colleen Reid ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์แห่ง University of Colorado Boulder สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เมื่อคุณมองเห็นควันสีดำที่ลอยออกมาจากกองไฟ คุณจะเห็นอนุภาคเล็ก ๆ ที่สามารถแขวนลอยอยู่ในอากาศและไม่ตกลงสู่พื้นได้ เมื่อรูปแบบลมเปลี่ยนไป ควันไฟที่มีอนุภาคเล็ก ๆ ก็จะกระจายไปยังทิศทางอื่นได้เช่นกัน ความจริงแล้วอนุภาคขนาดเล็ก นอกจากจะเป็นอนุภาคที่ลอยอยู่ในอากาศแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่สามารถเข้าไปในปอดได้ลึกมากและทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบของสุขภาพในร่างกายได้อีกด้วย ยิ่งระดับ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria)

ฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่หายาก เกิดจากความบกพร่องของยีนที่ช่วยสร้างฟีนิลอะลานีนไฮดรอกซิเลส ทำให้ร่างกายไม่สามารถสลายฟีนิลอะลานีนได้ คำจำกัดความฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) คืออะไร โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่หายาก เกิดจากความบกพร่องของยีนที่ช่วยสร้างฟีนิลอะลานีนไฮดรอกซิเลส (Phenylalanine hydroxylase) ทำให้ร่างกายไม่สามารถสลายฟีนิลอะลานีนได้ หากไม่ได้รับการรักษา อาจจะทำให้ระดับฟีนิลอะลานีนสะสมในร่างกายมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อร่างกายทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญาและเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมา พบได้บ่อยแค่ไหน โรคฟีนิลคีโตนูเรียพบได้บ่อยในทารกช่วง 1-3 เดือนแรกหลังคลอด อาการอาการของโรคฟีนิลคีโตนู โรคฟีนิลคีโตนูเรียอาจมีอาการแสดงออกตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงมีอาการรุนแรง โดยมีอาการแสดงออก ดังนี้ อาการชัก อาการสั่น เจริญเติบโตช้า สมาธิสั้น ผื่นผิวหนัง (กลาก) ลมหายใจเหม็น ความพิการทางสติปัญญา ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย โรคฟีนิลคีโตนูเรียเป็นภาวะที่สืบทอดจากความบกพร่องของยีนที่ไม่สามารถสร้างเอนไซม์ฟีนิลอะลานีนไฮดรอกซิเลส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ทำลายฟีนิลอะลานีน ส่งผลให้ฟีนิลอะลานีนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากมีการสะสมฟีนิลอะลานีนในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้  โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ และเนื้อสัตว์ (ยีนที่เกิดความบกพร่องนั้นต้องเกิดจากยีนที่ผิดปกติของทั้งพ่อและแม่ แต่หากเกิดขึ้นจากพ่อหรือแม่เพียงคนเดียว อาจไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์) ปัจจัยเสี่ยงของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย พ่อและแม่มียีนที่บกพร่องทั้งคู่ที่ทำให้เกิดโรคฟีนิลคีโตนูเรีย มีเชื้อสายอเมริกัน แอฟริกัน การวินิจฉัยและการรักษาข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการคัดกรองทารกแรกเกิดสำหรับทารกที่มีสัญญาณของโรคฟีนิลคีโตนูเรีย โดยการเจาะเลือดมาทดสอบหาความผิดปกติทางพันธุกรรม รวมถึงวิธีการทดสอบอื่น ๆ เช่น ทดสอบการกลายพันธุ์ของยีน การทดสอบทางพันธุกรรม เป็นต้น การรักษาโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย สามารถบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้โดยการเลือกรับประทานอาหารและการใช้ยา ดังนี้ การควบคุมอาหาร จำกัดอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ ชีส ถั่ว นม ไก่ เนื้อวัว […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะขาดเหงื่อ (Anhidrosis)

ภาวะขาดเหงื่อ (Anhidrosis) หมายถึงอาการที่ไม่มีเหงื่อออก หรือมีเหงื่อน้อยกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน หรือออกกำลังกายอย่างหนักแล้วก็ตาม [embed-health-tool-bmr] คำจำกัดความ ภาวะขาดเหงื่อ คืออะไร ภาวะขาดเหงื่อ (Anhidrosis) หมายถึงอาการที่ไม่มีเหงื่อออก หรือมีเหงื่อน้อยกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน หรือออกกำลังกายอย่างหนักแล้วก็ตาม การที่เราไม่มีเหงื่อ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถถ่ายเทความร้อน และลดอุณภูมิของร่างกายลงได้ ส่งผลให้อุณหภูมิของร่างกายสูงเกินไป จนอาจส่งผลให้เกิดสภาวะที่เป็นอันตราย เช่น ตะคริว เพลียแดด หรือลมแดด เป็นต้น ภาวะขาดเหงื่อนั้นอาจมีตั้งแต่ในระดับเบา มีเหงื่อออกน้อย ไปจนถึงระดับรุนแรง ที่ไม่มีเหงื่อออกเลย และอาจเกิดขึ้นแค่เพียงบางส่วนของร่างกาย จึงทำให้ยากต่อการสังเกตและการวินิจฉัย บ่อยครั้งที่ภาวะขาดเหงื่อนั้นอาจจะส่งผลแค่กับบางบริเวณของร่างกาย แต่ส่วนอื่นยังคงมีเหงื่อออกตามปกติ ทำให้ร่างกายสามารถคลายความร้อนได้ และไม่เป็นอันตรายใด ๆ ภาวะขาดเหงื่อ พบบ่อยแค่ไหน เนื่องจากภาวะขาดเหงื่อนั้นค่อนข้างจะสังเกตยาก หากไม่ได้เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกาย ดังนั้นจึงไม่สามารถทราบได้ว่า มีคนมากน้อยแค่ไหน ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะขาดเหงื่อนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดสอบถามแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ อาการ อาการของภาวะขาดเหงื่อ สัญญาณและอาการของภาวะขาดเหงื่อ ได้แก่ ไม่มีเหงื่อออก หรือมีเหงื่อออกน้อย วิงเวียน ร้อนวูบวาบ ตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง เหนื่อยล้า รู้สึกร้อนมากเกินไป บริเวณที่ไม่มีเหงื่อนั้น อาจจะเกิดขึ้นกับบางส่วนของร่างกาย หรือเกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกาย หากคุณมีภาวะขาดเหงื่อในบางส่วน ส่วนที่สามารถขับเหงื่อได้ ก็อาจจะพยายามขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ เพื่อชดเชยส่วนที่ไม่สามารถขับเหงื่อได้ ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด หากคุณสังเกตพบว่าตัวเองมีเหงื่อออกน้อย หรือไม่มีเหงื่อออกเลย แม้ว่าจะออกกำลังกาย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง กับเคล็ดลับการใช้ชีวิตร่วมกับโรคได้อย่างเป็นสุข

เราเชื่อว่าไม่มีใครอยากป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ท้องเสีย เป็นไข้หวัด ปวดศีรษะ เป็นแผล หรือยิ่งหากเป็นโรครุนแรงหรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ก็ยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย ใช้เวลารักษาไม่นานก็คงหาย แต่หาก ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ส่วนใหญ่รักษาให้หายขาดไม่ได้ และคุณต้องอยู่กับโรคนั้นไปตลอดชีวิต โรคเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ จนทำให้คุณเครียด กังวล และไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรดี วันนี้ Hello คุณหมอ มีเคล็ดลับดี ๆ ในการใช้ชีวิตร่วมกับโรคเรื้อรังอย่างเป็นสุขมาฝากคุณแล้ว ทำความเข้าใจ โรคเรื้อรัง ให้กระจ่างขึ้น โรคเรื้อรัง คืออะไร โรคเรื้อรัง (Chronic diseases) หมายถึง โรคที่เป็นแล้วจะมีอาการ หรือต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต และโรคเรื้อรังส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงควบคุมอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นหรือลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ตัวอย่าง โรคเรื้อรัง ตัวอย่างโรคเรื้อรังที่พบบ่อย เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคข้ออักเสบ โรคหืด โรคอัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อม โรคลมชัก การติดเชื้อเอชไอวี โรคพาร์กินสัน โรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว โรคไบโพลาร์ชนิดอ่อน (Cyclothymic disorder หรือ Cyclothymia) เมื่อผู้ป่วยโรคเรื้อรังต้องทนอยู่กับความเจ็บป่วยเป็นเวลานานอาจทำให้สุขภาพยิ่งแย่ลง และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ ทั้งการเรียน การทำงาน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ยาแคปซูล ติดคอ กลืนยาก กินแต่ผงยาข้างในไม่กินแคปซูลได้ไหม

เวลากินยาแต่ละที รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกจับไปเชือดเสียอย่างนั้น ทั้งรสชาติที่ไม่อร่อย และจำนวนยาที่ต้องกิน แค่คิดก็เอียนแล้ว ทำให้หลายคนประสบปัญหากินยายากไปโดยปริยาย ยิ่งถ้าเป็น ยาแคปซูล ด้วยล่ะก็ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะบางทีกินแล้วก็ติดอยู่ในปาก บางทีก็ติดในลำคอ กลืนไม่ลงสักที พอเป็นแบบนี้เวลากินยาแคปซูลบ่อยเข้า หลายคนก็เลยเทเอาแต่ผงยาออกมาจากแคปซูลยาแล้วนำไปละลายน้ำดื่มก่อนกิน ซึ่งก็ทำให้ง่ายต่อการกินยาได้จริงๆ แต่…การทำแบบนั้นจะดีต่อร่างกายของเราจริงๆ หรือเปล่า แล้ว แคปซูลยา สามารถเปิดแคปซูลออกก่อนจะกินได้ด้วยหรือ เพื่อตอบข้อสงสัยนั้น Hello คุณหมอ มีสาระดีๆ ในการกินยาแบบแคปซูลมาฝากค่ะ [embed-health-tool-bmr] ยาแคปซูล คืออะไร แคปซูล แคปซูลยา หรือยาแคปซูล เปรียบเสมือนภาชนะทรงมน รี และยาว ใช้สำหรับบรรจุยาหรือผงยา โดยตัวแคปซูลนี้ผลิตจากเจลาติน (Gelatin) ซึ่งเจลาตินนี้มาจากกระดูกหรือผิวหนังของสัตว์ ร่างกายของเราจึงสามารถที่จะละลายและดูดซึมแคปซูลยานี้ได้ แคปซูลยาจะถูกละลายเมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและกระจายตัวเข้าสู่ระบบต่างๆ ของร่างกาย เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยหรือเพื่อบำรุงร่างกาย แคปซูลยานี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ในการกลบกลิ่น หรือรสชาติของตัวยา เพื่อช่วยให้การกินยาทำได้ง่ายขึ้น ทั้งยังมีสารเคลือบที่แคปซูลยา เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการปลดปล่อยตัวยาอีกด้วย ยาแคปซูล มีกี่ประเภท แคปซูลยา มีอยู่ด้วยกันสองชนิดหลักๆ ได้แก่ แคปซูลปลอกแข็ง (Hard-shelled capsules) แคปซูลปลอกแข็ง หรือแคปซูลยาแบบแข็ง จะประกอบไปด้วยปลอกแคปซูล […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ระบบทางเดินอาหาร ระบบสำคัญของร่างกายที่เราควรต้องรู้

ร่างกายของเรา ประกอบไปด้วยระบบต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกายอยู่หลายระบบ ซึ่งแต่ละระบบก็จะมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน ภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกันคือการขับเคลื่อนร่างกายให้ดำเนินไปอย่างปกติ สมบูรณ์ และแข็งแรง วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับหนึ่งในระบบพื้นฐานและมีความสำคัญต่อร่างกายของเราอย่าง ระบบทางเดินอาหาร แต่ระบบนี้คืออะไร และทำหน้าที่สำคัญต่อร่างกายเราอย่างไรบ้างนั้น มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันที่บทความนี้กันเลยค่ะ ระบบทางเดินอาหาร คืออะไร ระบบทางเดินอาหาร (Digestive System) เป็นระบบที่ทำหน้าที่สำคัญในการย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป และดูดซึมเอาสารอาหารจากอาหารมื้อนั้น ๆ ไปหล่อเลี้ยงระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายมีพลังงาน เจริญเติบโต และซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่เกิดการสึกหรอ โดยการทำงานของระบบทางเดินอาหารนั้นจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ปากและเรื่อยไปจนจบกระบวนการที่ทวารหนัก ความสำคัญของ ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินอาหารจะทำหน้าที่ในการแปรเปลี่ยน ดูดซึม และส่งต่อสารอาหารไปยังระบบหรือเซลล์ต่าง ๆ ทั่วทั้งร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี ธาตุเหล็ก แคลเซียม หรือโพแทสเซียม เป็นต้น ซึ่งสารอาหารที่ได้จากกระบวนการทำงานของระบบทางเดินอาหารนี้นี่เอง ที่ทำให้เรามีพลังงาน มีร่างกายที่แข็งแรง และมีสุขภาพดี  ระบบทางเดินอาหาร ทำงานอย่างไร การทำงานของระบบทางเดินอาหาร จะมีลำดับและขั้นตอนที่ไล่เรียงกันไปจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดของกระบวนการ ดังนี้ ปาก ตั้งแต่วินาทีแรกที่อาหารถูกตักเข้าปาก และฟันเริ่มทำการบดหรือเคี้ยวอาหารคำนั้น นั่นถือเป็นการเริ่มต้นกระบวนการของระบบทางเดินอาหารแล้ว โดยการบดหรือเคี้ยวอาหารของฟันจะช่วยแยกอาหารออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อให้ง่ายต่อการย่อยอาหารในลำดับต่อไป […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อข้องใจ รู้หรือไม่? มีไข้สูงเท่าไหร่ถึงควรไปหาหมอ

เชื่อทุกคนน่าจะต้องผ่านการ เป็นไข้ หรือ มีไข้ กันมาอย่างแน่นอน มีไข้แต่ละครั้งนี่ก็ทำเอาสูญเสียพลังงานและกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอยู่มิใช่น้อย อย่างไรก็ตาม เพียงพักผ่อนเยอะ ๆ ดื่มน้ำให้มาก ๆ และรับประทานยาลดไข้ ก็อาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้โดยไม่ต้องไปหาหมอ แต่…คุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า แล้วเราต้องมีไข้สูงขนาดไหน หรือเป็นไข้แบบไหนล่ะ ที่จำเป็นจะต้องไปพบกับคุณหมอ ถ้ากำลังสงสัยกันอยู่ล่ะก็ Hello คุณหมอ มีคำตอบมาฝากกันในบทความนี้แล้วค่ะ [embed-health-tool-heart-rate] สาเหตุที่ มีไข้ สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เรามีไข้ หรือ เป็นไข้ มักจะมาจากการที่ร่างกายติดเชื้อ หรือมีเชื้อโรคแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายกำลังทำการต่อสู้กับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมนั้น ร่างกายจึงมีอาการตอบสนองด้วยการเป็นไข้ และนอกจากนี้การมีไข้ ยังสามารถเกิดได้จาก อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลง หรือมีอุณหภูมิสูง เป็นหวัด หรือไข้หวัด การอักเสบต่าง ๆ เช่น ไซนัสอักเสบ ลำไส้อักเสบ ปอดอักเสบ  การติดเชื้อต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อที่หู การติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ เป็นไข้ จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นไข้จากการติดเชื้อรา สภาพอากาศ เชื้อโรคต่าง ๆ มีไข้ แบบไหนถึงควรไปหาหมอ การมีไข้ก็มีอยู่ด้วยกันหลายระดับ ตั้งแต่มีไข้อ่อนๆ หรือไข้เพียงเล็กน้อย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

หนังตาตก (Ptosis)

หนังตาตก (Ptosis) หมายถึงภาวะที่เปลือกตาบนนั้นมีลักษณะหย่อนคล้อย หรือตกลงมา โดยไม่สามารถควบคุมได้ สามารถเกิดขึ้นได้กับดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจจะเกิดขึ้นกับตาทั้งสองข้าง คำจำกัดความหนังตาตก คืออะไร หนังตาตก (Ptosis) หมายถึงภาวะที่เปลือกตาบนนั้นมีลักษณะหย่อนคล้อย หรือตกลงมา โดยไม่สามารถควบคุมได้ สามารถเกิดขึ้นได้กับดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจจะเกิดขึ้นกับตาทั้งสองข้าง ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้เองตั้งแต่กำเนิด หนือเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากอายุ การบาดเจ็บ หรือสภาวะทางการแพทย์อื่นๆ และอาจมีอาการเพียงแค่ชั่วคราว หรือเป็นอย่างถาวรก็ได้ ในกรณีรุนแรง อาการหนังตาตกนี้อาจจะรุนแรงมาก จนส่งผลกระทบกับการมองเห็น ทำให้มองเห็นได้น้อยลง หรือหนังตาหย่อนคล้อยลงมาจนปิดดวงตา ทำให้มองไม่เห็นเลยก็ได้เช่นกัน ภาวะหนังตาตก นี้เป็นภาวะที่สามารถรักษาให้หายได้ ทั้งจากวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์ทางเลือกต่างๆ หนังตาตกพบบ่อยแค่ไหน ภาวะหนังตาตก นี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม เด็กทารกบางคนก็อาจจะมี ภาวะหนังตาตกนี้ตั้งแต่แรกเกิดได้เช่นกัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์ อาการอาการของหนังตาตก อาการหลักที่เห็นได้ชัดที่สุดของภาวะหนังตาตกก็คือ อาการเปลือกตาบนหย่อนคล้อยลงมา โดยไม่มีอาการเจ็บหรืออาการปวดใดๆ แต่หนังตาที่ย้อยลงมานี้อาจบดบังการมองเห็น ทำให้มองเห็นได้ลำบากมากขึ้น หรือทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ หากเด็กมี ภาวะหนังตาตก เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็อาจจะเกิดภาวะที่เรียกว่า ตาขี้เกียจ (Amblyopia) หมายถึงภาวะการที่ดวงตาไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ จนทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น ทำให้สายตาพร่าเลือน และมองเห็นไม่ชัด ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด หากคุณมีสัญญาณหรืออาการที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถามเกี่ยวกับอาการของโรคโปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของหนังตาตก ภาวะหนังตาตก อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้ การบาดเจ็บบริเวณดวงตา เช่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เสื้อกันยูวี ป้องกันแดด ป้องกันรังสียูวีได้จริงหรือเปล่า?

เวลาที่ไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าชุดใหม่ คุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเคยผ่านหูผ่านตากับเสื้อผ้ากันยูวีมาบ้าง แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าเสื้อผ้ากันยูวี อย่าง เสื้อกันยูวี กางเกงกันยูวี มันสามารถป้องกันผิวหนังของเราจากแสงยูวีได้จริงๆ หรือ? ถ้าใส่เสื้อผ้ากันยูวีแล้วเนี่ย ไม่ต้องทาครีมกันแดดก็ได้ใช่ไหม? และถ้าหากคุณผู้อ่านกำลังสงสัยหรือกำลังตัดสินใจว่าจะลองซื้อชุดกันยูวีอยู่ล่ะก็ Hello คุณหมอ มีข้อมูลดีๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณผู้อ่านในบทความนี้เลยค่ะ  เสื้อกันยูวี คืออะไร ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกันว่าเสื้อกันยูวีคืออะไร เราควรมาเริ่มทำความรู้จักกับ ค่าความสามารถในการป้องกันรังสียูวีของสิ่งทอ (Ultraviolet Protection Factor) หรือค่าUPF กันเสียก่อน ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เสื้อผ้าที่เราสวมใส่กันในชีวิตประจำวันนี้ก็มีค่าUPF ที่สามารถที่ป้องกันรังสียูวีหรือแสงแดดได้ด้วยเหมือนกัน เพราะเส้นใยที่ใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตสิ่งทออย่างเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายนั้นจะมีค่าUPF ที่ทำหน้าที่ในป้องกันรังสียูวีทั้งยูวีเอและยูวีบีอยู่เสมอ เสื้อผ้าโดยทั่วไปจะมีค่าUPF อยู่ประมาณ 15-50 ซึ่งUPF = 15 หมายถึง จะมีรังสียูวีแค่เพียง 1/15 เท่านั้นที่สามารถเล็ดลอดเสื้อผ้าเข้าไปสัมผัสกับผิวหนังได้ หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็จะมีรังสียูวีแค่เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะได้เข้าไปสัมผัสกับผิวหนังของเรา แต่ถ้าหากเสื้อผ้าชุดนั้นมีค่าUPF ตั้งแต่ 50 ขึ้นไปล่ะก็ จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีสูงในระดับสูงถึงสูงสุด โดยเสื้อผ้าที่มีค่าUPF มากกว่า 50 ขึ้นไป จะสามารถป้องกันรังสียูวีได้มากกว่า 98 เปอร์เซนต์ ดังนั้น เสื้อผ้าที่มีค่าUPF ที่สูงเกิน 50 […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน