สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ไขข้อสงสัย วัคซีนคืออะไร? อันตรายจริงไหม?

วัคซีน คือ สารที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค โดยเลียนแบบการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสามารถจดจำและป้องกันโรคนั้นได้ในอนาคต โดยไม่ต้องป่วยก่อน วัคซีนถือเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุด ช่วยลดอัตราการตายและโรคภัยไข้เจ็บทั่วโลก แต่หลายคนยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยว่าวัคซีนอันตรายจริงหรือไม่ พร้อมอธิบายความเข้าใจผิด ๆ ที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับวัคซีน [embed-health-tool-vaccination-tool] วัคซีนคืออะไร และทำงานอย่างไร วัคซีนคือสารกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อโรค เพื่อช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรค โดยเลียนแบบการติดเชื้อ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเรียนรู้ที่จะจดจำและป้องกันโรคในอนาคต โดยที่ไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคนั้นก่อน ชนิดของวัคซีนสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามวิธีการผลิต ดังนี้ วัคซีนชนิดเชื้อตาย ใช้เชื้อโรคที่ตายแล้วเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโปลิโอ วัคซีนพิษสุนัขบ้า วัคซีนชนิดเชื้อเป็น ใช้เชื้อโรคที่ถูกทำให้อ่อนแรงหรือหมดฤทธิ์จนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ เช่น วัคซีนโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน และวัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนที่ผลิตจากพิษของเชื้อโรค ใช้พิษของเชื้อโรคที่ถูกทำให้หมดฤทธิ์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เช่น วัคซีนบาดทะยัก และวัคซีนคอตีบ วัคซีนแต่ละชนิดมีวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน แต่ทุกชนิดต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย การใช้วัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค นอกจากจะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรค ช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงมากมาย ยังสามารถช่วยให้สังคมได้รับประโยชน์จากภูมิคุ้มกันกลุ่ม ซึ่งเกิดจากการที่คนส่วนใหญ่ในสังคมได้รับการเสริมภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ส่งผลให้โรคบางอย่างมีโอกาสในการแพร่กระจายน้อยลงอีกด้วย วัคซีนอันตรายจริงไหม แม้ว่าการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจะเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายใจปัจจุบัน แต่หลายคนก็อาจจะมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการฉีดวัคซีน คิดว่าวัคซีนอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย จริง ๆ แล้ว วัคซีนไม่อันตรายหากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันล้วนผ่านการทดสอบและการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก่อนนำมาใช้งานจริง ส่วนผสมในวัคซีน เช่น ไธเมอโรซอล ฟอร์มาลดีไฮด์ หรืออะลูมิเนียม ถูกใช้ในปริมาณต่ำมากและปลอดภัยกว่าปริมาณที่เราพบในชีวิตประจำวันจากอาหาร […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

การทดสอบทางการแพทย์

ซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (History And Physical Exam For COPD)

ข้อมูลพื้นฐานซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง คืออะไร โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease: COPD) เป็นโรคปอดชนิดหนึ่งที่ทำให้หายใจลำบาก มักเป็นการเกิดของโรคสองชนิดร่วมกันที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ คือ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis) และ ภาวะมีอากาศในเนื้อเยื่อ (emphysema) เมื่อเวลาผ่านไป โรคนี้สามารถทำให้เกิดอาการหายใจลำบากและปัญหาเกี่ยวกับหัวใจที่รุนแรง ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง (Chronic obstructive pulmonary disease: COPD)  โรค COPD ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การใช้ยาและการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์อาจช่วยบรรเทาอาการได้ หนทางที่เชื่อถือได้หนทางเดียวในการชะลอการเกิดโรค COPD คือการเลิกสูบบุหรี่ ประวัติสุขภาพของคุณจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งบ่งชี้ที่สำคัญ ที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้ เหตุผลในการตรวจ ประวัติสุขภาพและการตรวจร่างกาย ช่วยให้แพทย์ทำการวินิจฉัยโรคได้ เป็นส่วนของการเข้าพบแพทย์เป็นประจำและมีความสำคัญ ข้อควรทราบก่อนตรวจข้อควรทราบก่อนการ ซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ควรมีการซักประวัติสุขภาพและการตรวจหัวใจอย่างระมัดระวัง เพื่อแบ่งแยกโรคหัวใจที่สัมพันธ์กับ หรือไม่ก็ทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่คล้ายคลึงกับอาการของโรค COPD เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงสำหรับโรคหัวใจรวมทั้งโรค COPD การตรวจหัวใจอาจแสดงให้เห็นถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็ว หรือแสดงสิ่งบ่งชี้ของภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) ตับอาจมีขนาดโตขึ้น ซึ่งในบางครั้งสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากอาการหัวใจล้มเหลวด้านขวา (cor pulmonale) ผลการตรวจร่างกายจะแตกต่างกันออกไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอาการหรือสิ่งบ่งชี้ที่เป็นไปได้ของโรค COPD ขั้นตอนการตรวจการเตรียมตัวเพื่อการ ซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง คุณควรเตรียมข้อมูลของการวินิจฉัยและการรักษาที่ผ่านมาอย่างละเอียดและครบถ้วน ถึงแม้ว่าอาการของโรคจะหายขาดแล้วก็ตาม หรืออาการของโรคไม่ได้มีสำคัญสำหรับคุณ แต่การทราบเกี่ยวกับอาการดังกล่าวอาจช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้ นอกจากนี้ การทราบเกี่ยวกับอาการทางสุขภาพในอดีตและปัจจุบันทั้งหมดของคุณจะช่วยให้แพทย์หาวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพของคุณ นอกเหนือจากประวัติอาการของโรคที่ผ่านมา คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาชนิดต่างๆ […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Test)

ตรวจไวรัสตับอักเสบบี เป็นการตรวจหาสารต่างๆ ในเลือด ที่แสดงให้เห็นว่า การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกำลังเกิดขึ้นหรือได้เกิดขึ้นในอดีต ข้อมูลพื้นฐาน การ ตรวจไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร ตรวจไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus Test ; HBV test) เป็นการตรวจหาสารต่างๆ ในเลือด ที่แสดงให้เห็นว่า การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกำลังเกิดขึ้นหรือได้เกิดขึ้นในอดีตหรือไม่ การทดสอบนี้เป็นการตรวจหาสิ่งบ่งชี้ของการติดเชื้อต่างๆ (markers) ได้แก่ แอนติเจนเป็นสิ่งบ่งชี้ที่เกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัส ดังนั้น การเกิดขึ้นของ HBV antigens หมายความว่ามีไวรัสอยู่ในร่างกาย แอนติบอดีเป็นโปรตีนที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้น เพื่อต้านการติดเชื้อ การเกิดขึ้นของ HBV antibodies หมายความว่า คุณได้สัมผัสไวรัสตับอักเสบบีมาในช่วงเวลาหนึ่ง แต่คุณอาจมีการติดเชื้อมาเป็นเวลานานแล้ว และมีอาการดีขึ้นแล้ว หรืออาจมีอาการติดเชื้อที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ สารพันธุกรรม (DNA) ของไวรัสตับอักเสบบีแสดงว่า มีไวรัสอยู่ในร่างกาย จำนวน DNA สามารถช่วยบอกได้ว่า อาการติดเชื้อมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดและการตรวจไวรัสตับอักเสบบีสามารถแพร่กระจายได้ง่ายเพียงใด เป็นสิ่งสำคัญในการระบุประเภทของไวรัสตับอักเสบ ที่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม กลุ่มการทดสอบที่มักใช้ในการทดสอบเบื้องต้น ได้แก่ การตรวจ Hepatitis B surface antigen (HBsAG)    ตรวจจับโปรตีนที่อยู่บนพื้นผิวของไวรัส เพื่อตรวจคัดกรอง ตรวจจับ และช่วยวินิจฉัยอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเฉียบพลันและเรื้อรัง กล่าวคือเป็นสิ่งบ่งชี้ปกติในระยะแรกสุดของตับอักเสบบีเฉียบพลัน และมักระบุผู้ติดเชื้อก่อนมีอาการ โดยไม่สามารถตรวจจับได้ในเลือดในระหว่างพักฟื้น เป็นวิธีเบื้องต้นในการจำแนกผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรัง […]


การทดสอบทางการแพทย์

ซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง (History And Physical Exam For Low Back Pain)

ข้อมูลพื้นฐานการ ซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง (History And Physical Exam For Low Back Pain) คืออะไร ก่อนที่แพทย์จะสามารถวินิจฉัยอาการของคุณ และกำหนดแผนการรักษา การซักประวัติสุขภาพ และการตรวจร่างกายอย่างครบถ้วน ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากผลการทดสอบเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถทราบว่า อาการปวดหลังและอาการอื่นๆ ของคุณ เกี่ยวข้องกับการกดทับเส้นประสาทหรือไม่ และเส้นประสาทเส้นใดที่ถูกกดทับ ซึ่งแพทย์จะใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อช่วยกำหนดว่าการรักษาประเภทใดที่มีโอกาสได้ผลมากที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อคุณมากที่สุด เหตุผลในการตรวจ การซักประวัติและการตรวจร่างกาย เป็นส่วนแรกในการจัดการอาการเกี่ยวกับหลังส่วนล่าง แพทย์อาจเปลี่ยนหรือข้ามการทดสอบบางประการ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้หลังบาดเจ็บในอนาคต ข้อควรรู้ก่อนตรวจข้อควรรู้ก่อนการ ซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง อาการปวดเกี่ยวข้องกับสาเหตุทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณมีความเครียด กล้ามเนื้อตึงหรือกล้ามเนื้อเกร็งสามารถเกิดขึ้นที่หลังได้ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดหรือมีอาการแย่ลง หากคุณหรือแพทย์ที่ทำการรักษารู้สึกว่า อาการปวดเกิดจากหรือมีอาการแย่ลงจากความเครียด ความโกรธ หรืออารมณ์ที่ยุ่งยากอื่นๆ ให้วางแผนเข้ารับการรักษาเฉพาะทาง การบำบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม (Cognitive-behavioral therapy) และการสร้างความสมดุลของร่างกาย (biofeedback) เป็นการรักษาสองประเภทที่เป็นเครื่องมือในการจัดการอาการปวด ขั้นตอนการตรวจการเตรียมตัวเพื่อการ ซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง คุณควรเตรียมข้อมูลที่สมบูรณ์และละเอียดจากการวินิจฉัยและการรักษาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าโรคหนึ่งหายขาดแล้ว หรือดูไม่สำคัญสำหรับคุณ แต่การรู้เกี่ยวกับอาการดังกล่าว อาจช่วยให้แพทย์วินิจฉัยอาการปวดหลังส่วนล่างได้ นอกจากนี้ การรู้เกี่ยวกับอาการทางสุขภาพในอดีตและปัจจุบันทั้งหมดของคุณ จะช่วยให้แพทย์หาวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพของคุณ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติสุขภาพของคุณ คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาชนิดต่างๆ ที่คุณใช้อยู่ เป็นการดีที่สุดที่จะนำรายการชื่อยาและขนาดยาล่าสุดของยาทั้งหมดที่ใช้อยู่มาด้วย ขั้นตอนการซักประวัติและการตรวจร่างกายสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง ประการแรก คุณจะได้รับการซักประวัติสุขภาพของคุณ เกี่ยวกับอาการอย่างครบถ้วน […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยการฉีดสี (Eye Angiogram)

ตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยการฉีดสี (Eye Angiogram) เป็นหัตถการเพื่อตรวจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับดวงตา โดยการฉีดสีฟลูออเรสเซนต์เข้าไปในกระแสเลือด เพื่อให้สามารถถ่ายภาพติดได้   ข้อมูลพื้นฐานตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยการฉีดสี (Eye angiogram) คืออะไร การตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยการฉีดสี (Fluorescein angiogram) เป็นหัตถการเพื่อตรวจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับดวงตา โดยการฉีดสีฟลูออเรสเซนต์เข้าไปในกระแสเลือด สีฟลูออเรสเซนต์จะทำให้เกิดสีที่หลอดเลือดบริเวณด้านหลังดวงตาเพื่อให้สามารถถ่ายภาพติดได้ การทดสอบนี้มักใช้เพื่อจัดการอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา โดยแพทย์อาจสั่งให้มีการทดสอบเพื่อยืนยันการวินิจฉัย เพื่อกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสม หรือเพื่อเฝ้าระวังอาการเกี่ยวกับหลอดเลือดบริเวณด้านหลังดวงตา ความจำเป็นใน การตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยการฉีดสี การทดสอบดำเนินการเพื่อดูว่า มีกระแสเลือดที่เหมาะสม ในหลอดเลือดด้านหลังดวงตาทั้งสองชั้นหรือไม่ (The retina and choroid) และการทดสอบนี้ยังสามารถใช้เพื่อวินิจฉัยปัญหาในดวงตา เพื่อดูว่าการรักษาดวงตาบางประเภทได้ผลดีหรือไม่ ข้อควรรู้ก่อนการตรวจข้อควรรู้ก่อนตรวจจอประสาทตา แพทย์ส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนให้ใช้ การตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยการฉีดสี นี้กับหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก เนื่องจากสีสามารถส่งต่อไปยังลูกผ่านทางน้ำนมได้ จึงไม่ปลอดภัยที่จะให้นมบุตรเป็นเวลา 24 ถึง 48 ชั่วโมงหลังการทดสอบนี้ และควรใช้อุปกรณ์ปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า และทิ้งนมที่ปั๊มออกมาจนกว่าจะปลอดภัย แล้วจึงเริ่มให้นมบุตรอีกครั้ง หรืออาจต้องปั๊มและเก็บน้ำนมเป็นเวลาหลายวัน ก่อนการทดสอบ หรือใช้นมผงในระหว่างช่วงเวลานี้ สีที่ฉีดเข้าไปจะถูกกรองผ่านไตและขับออกจากร่างกาย ผ่านทางปัสสาวะภายในเวลาประมาณ 48 ชั่วโมง โดยปัสสาวะอาจมีสีเหลืองหรือสีส้มสว่าง และสีที่เรียกว่า Indocyanine green พบว่าให้ผลดีกว่าในการตรวจหาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาบางประเภท และอาจใช้แทนสารฟลูออเรสซีน เพื่อให้แพทย์สามารถดูได้ว่าหลอดเลือดใต้เรตินารั่วหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบ การตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยการฉีดสี […]


การทดสอบทางการแพทย์

อัลตราซาวด์กะโหลกศีรษะ (Cranial Ultrasound)

อัลตราซาวด์กะโหลกศีรษะ เป็นการใช้คลื่นเสียงสะท้อน เพื่อสร้างภาพถ่ายสมอง และบริเวณกักเก็บของเหลวในโพรงสมอง ที่น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังไหลผ่าน   คำจำกัดความการตรวจ อัลตราซาวด์กะโหลกศีรษะ (Cranial Ultrasound) คืออะไร  การตรวจอัลตราซาวด์กะโหลกศีรษะ (cranial ultrasound) ใช้คลื่นเสียงสะท้อนเพื่อสร้างภาพถ่ายสมองและบริเวณกักเก็บของเหลวในโพรงสมองที่น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังไหลผ่าน การทดสอบนี้มักดำเนินการในเด็กเพื่อประเมินอาการแทรกซ้อนของการคลอดก่อนกำหนด ส่วนในผู้ใหญ่นั้น การตรวจอัลตราซาวด์กะโหลกอาจดำเนินการเพื่อแสดงให้เห็นก้อนสมองในระหว่างการผ่าตัด   คลื่นอัลตราซาวด์ไม่สามารถผ่านกระดูกได้ จึงไม่สามารถทำการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อประเมินสมองได้หลังจากที่กระดูกหุ้มสมอง (cranium) เชื่อมต่อกันสนิทแล้ว การตรวจอัลตราซาวด์กะโหลกสามารถดำเนินการได้ในทารกก่อนที่กระดูกกะโหลกศีรษะเจริญเติบโตเต็มที่ ส่วนในผู้ใหญ่จะทำหลังจากผ่าตัดเปิดกะโหลกแล้ว การทดสอบนี้อาจใช้ประเมินอาการผิดปกติในสมองและโพรงสมองในทารกแรกเกิดไปจนอายุประมาณ 18 เดือน การอัลตราซาวด์กะโหลกศีรษะสำหรับทารก อาการแทรกซ้อนของการคลอดก่อนกำหนด ได้แก่ อาการ periventricular leukomalacia (PVL) และเลือดออกในสมอง ซึ่งได้แก่อาการเลือดออกในโพรงสมอง (intraventricular hemorrhage: IVH) อาการ PVL เป็นภาวะหนึ่งที่เนื้อเยื่อสมองรอบโพรงสมองได้รับความเสียหายซึ่งอาจเกิดจากออกซิเจนหรือกระแสเลือดที่ไปเลี้ยงสมองน้อยลง โดยอาจเกิดขึ้นก่อน ในระหว่าง หรือหลังการคลอดก็ได้ อาการ IVH และ PVL จะเพิ่มความเสี่ยงของความพิการในทารก ซึ่งอาจปราฏอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรงเกี่ยวกับการเรียนรู้หรืออาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่เติบโตช้า (gross motor delays) ไปจนถึงอาการสมองพิการ (cerebral palsy) หรือความพิการทางสติปัญญา […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจหมู่โลหิต (Blood Typing)

ตรวจหมู่โลหิต ใช้เพื่อระบุหมู่โลหิตของผู้ป่วยก่อนให้หรือรับเลือด และเพื่อระบุหมู่เลือดของผู้ที่ต้องการมีบุตรเพื่อประเมินความเสี่ยงในการเข้ากันไม่ได้ของ Rh ระหว่างมารดาและบุตร ข้อมูลพื้นฐาน การ ตรวจหมู่โลหิต คืออะไร ในเลือดหมู่ต่างๆ นั้น มีสารชีวเคมีหรือแอนติเจน ABO (ABO antigens) และ Rh เป็นตัวจำแนกหมู่เลือด โดยสามารถตรวจสอบเลือดของผู้บริจาคและเลือดของผู้ที่อาจจะรับบริจาค เพื่อดูการเข้ากันของเลือด นอกจากนี้ การทดสอบนี้ใช้ระบุหมู่เลือดของหญิงตั้งครรภ์และทารกเกิดใหม่ได้ด้วยบทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับหมู่เลือดระบบ ABO และระบบ Rh ตลอดจนปฏิกิริยาข้ามกัน (cross-reactions) ระหว่างแอนติเจนและแอนติบอดีที่เกิดขึ้น เมื่อมีความไม่เข้ากันของหมู่เลือดต่างกลุ่ม หรือต่างระบบกัน เลือดของมนุษย์ได้รับการจัดหมวดหมู่ตามการมีหรือไม่มีของแอนติเจนเอและบี ในเลือดกรุ๊ปเอ เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงจะประกอบด้วยแอนติเจนเอ ในเลือดกรุ๊ปบี เยื่อเม็ดเลือดแดงหมู่บีประกอบด้วยแอนติเจนบี ส่วนกรุ๊ปเลือดเอบี จะมีทั้งแอนติเจนเอและบีที่พื้นผิวของเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง ในขณะที่เลือดกรุ๊ปโอ จะไม่มีทั้งแอนติเจนเอและบีที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงเลย โดยปกติแล้ว ซีรัมในเลือดของบุคคลหนึ่งจะประกอบด้วยแอนติบอดีที่เข้ากันกับแอนติเจนบนเซลล์เม็ดเลือดแดง หมายความว่าแอนติเจนเอ (หมู่เลือดเอ) จะไม่มีแอนติบอดี anti-A แต่จะมีแอนติบอดี anti-B ในทางกลับกัน ผู้ที่มีแอนติเจนบีจะไม่มีแอนติบอดี anti-B แต่จะมีแอนติบอดี anti-A ส่วนเลือดกรุ๊ปโอจะมีสารแอนติบอดีทั้ง anti-A และ anti-B โดยแอนติบอดีเหล่านี้จะผลิตขึ้นในสามเดือนแรกหลังคลอดโดยการสัมผัสกับสารแวดล้อม เช่น แอนติเจนจากเม็ดเลือดแดง หรือแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร การถ่ายเลือด หมายความถึง […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจสารเคมีในเลือด (Blood Chemistry Screen)

ตรวจสารเคมีในเลือด เป็นการตรวจเลือดประเพื่อวัดระดับของสารต่างๆ ในเลือด (เช่น อิเล็กโทรไลต์) การตรวจสารเคมีในเลือดทำให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป ช่วยตรวจหาอาการบางประการ ตลอดจนประเมินผลของการรักษาสำหรับอาการเฉพาะ [embed-health-tool-bmr] ข้อมูลพื้นฐาน การ ตรวจสารเคมีในเลือด คืออะไร การตรวจสารเคมีในเลือด (Chemistry screen) เป็นการตรวจเลือดประเพื่อวัดระดับของสารต่างๆ ในเลือด (เช่น อิเล็กโทรไลต์) การตรวจสารเคมีในเลือดทำให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป ช่วยตรวจหาอาการบางประการ ตลอดจนประเมินผลของการรักษาสำหรับอาการเฉพาะ กระบวนการทั่วไปของการตรวจเลือดนี้ เป็นการวัดระดับของอิเล็กโตรไลต์ที่สำคัญและสารเคมีอื่นๆ ได้แก่ กลูโคส หรือ น้ำตาลในเลือดจะถูกย่อยในระดับเซลล์เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย ระดับกลูโคสที่สูงขึ้นอาจเกิดจากเบาหวานหรือยาชนิดต่างๆ เช่น สเตียรอยด์ ระดับโซเดียม ในเลือดแสดงให้เห็นถึงสมดุลระหว่างการบริโภคโซเดียมและน้ำและการขับถ่าย ระดับโซเดียมที่ผิดปกติในเลือดอาจแสดงให้เห็นถึงการทำหน้าที่ผิดปกติของหัวใจหรือไตหรือภาวะขาดน้ำ โพแทสเซียม มีบทบาทสำคัญในการควบคุมกิจกรรมของกล้ามเนื้อ ซึ่งได้แก่ การหดตัวของหัวใจ ภาวะไตล้มเหลว รวมทั้งอาเจียนหรือท้องร่วงอาจทำให้มีระดับโพแทสเซียมที่ผิดปกติ ระดับคลอไรด์ อาจสูงขึ้นและลดลงในทิศทางเดียวกันกับระดับโซเดียมเพื่อคงสมดุลของประจุไฟฟ้า อาการผิดปกติหลายประการอาจเปลี่ยนแปลงระดับคลอไรด์ ซึ่งได้แก่ การทำงานที่ผิดปกติของไต โรคเกี่ยวกับต่อมหมวกไต อาเจียน ท้องร่วง และหัวใจวาย คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ทำหน้าที่เป็นระบบบัฟเฟอร์เพื่อช่วยคงสมดุลกรด-เบสของเลือด โดยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ (Respiratory disease) อาการผิดปกติของไต อาเจียนรุนแรง ท้องร่วง และติดเชื้อรุนแรงมากสามารถทำให้เกิดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดที่ผิดปกติได้ […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมดลูกหดรัดตัว (Contraction Stress Test)

การ ตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมดลูกหดรัดตัว (Contraction Stress Test) เป็นการตรวจเพื่อดูว่าว่าทารกในครรภ์จะปลอดภัยหรือไม่ เมื่อมดลูกหดรัดตัวระหว่างการคลอด ข้อมูลพื้นฐานการ ตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมดลูกหดรัดตัว คืออะไร การตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมดลูกหดรัดตัว หรือการประเมินภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์ขณะที่มีการหดรัดตัวของมดลูก (Contraction Stress Test หรือ CST) เป็นการตรวจเพื่อประเมินว่าทารกในครรภ์จะปลอดภัยหรือไม่ในระหว่างที่ระดับออกซิเจนลดลงซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อมดลูกหดรัดตัวระหว่างการคลอด โดยเป็นการตรวจดูการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์จากภายนอก และมักทำการทดสอบเมื่อมีอายุครรภ์ 34 สัปดาห์หรือมากกว่า ในระหว่างมดลูกหดรัดตัว เลือดและออกซิเจนที่ไปหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์จะลดลงเป็นเวลาสั้นๆ สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับทารกส่วนใหญ่ แต่อัตราการเต้นของหัวใจของทารกบางรายอาจมีค่าช้าลง การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจนี้สามารถมองเห็นได้จากอุปกรณ์แสดงภาพจากภายนอก การตรวจสอบนี้ จะมีการให้ฮอร์โมนออกซิโทซิน (oxytocin) ผ่านทางหลอดเลือดดำ (intravenously หรือ IV) ของมารดา เพื่อทำให้มดลูกหดตัวเสมือนการคลอด หรืออาจมีการนวดหัวนมเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายปลดปล่อยฮอร์โมนออกซิโทซินออกมา หากอัตราการเต้นของหัวใจของทารกช้าลงหลังมดลูกบีบรัดตัว แสดงว่าทารกอาจมีปัญหาเกี่ยวกับแรงกดทับในการคลอดตามธรรมชาติ การตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมดลูกหดรัดตัว มักกระทำเมื่อหญิงตั้งครรภ์มีผลการตรวจความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นหัวใจ (Non-stress test) และการตรวจความสมบูรณ์ของทารก (biophysical profile) ผิดปกติ การตรวจความสมบูรณ์ของทารกทำได้โดยการอัลตราซาวด์เพื่อวัดลักษณะทางร่างกายของทารก ความจำเป็นในการ ตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมดลูกหดรัดตัว การตรวจสอบภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์ขณะมีการบีบตัวของมดลูกมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ เพื่อประเมินว่าทารกในครรภ์จะปลอดภัยหรือไม่ เมื่อมดลูกบีบตัวและระดับออกซิเจนลดลงระหว่างการคลอด ประเมินว่ารกแข็งแรงพอที่จะพยุงตัวทารกได้ การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์อาจดำเนินการเมื่อพบว่ามีผลการตรวจภาวะสุขภาพทารกในครรภ์แบบไม่มีแรงกดทับที่ตัวทารก (Non-stress test) หรือการตรวจความสมบูรณ์ของทารกผิดปกติ ข้อควรรู้ก่อนตรวจข้อควรรู้ก่อนเข้ารับการ ตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมดลูกหดรัดตัว ในบางกรณี การตรวจภาวะสุขภาพทารกในครรภ์ขณะมีการบีบตัวของมดลูกอาจแสดงผลว่าการเต้นของหัวใจทารกช้าลง ทั้งๆ ที่ทารกไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ กรณีนี้เรียกว่าผลบวกลวง ในปัจจุบัน การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ประเภทนี้ไม่เป็นที่นิยมนัก […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (Glycohemoglobin Test)

การ ตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (glycohemoglobin test) เป็นการตรวจเลือดประเภทหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือด ข้อมูลพื้นฐานการ ตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด คืออะไร การ ตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (glycohemoglobin test) หรือที่เรียกกันติดปากว่าการตรวจ “ฮีโมโกลบิน เอวันซี” (hemoglobin A1c) เป็นการตรวจเลือดประเภทหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบปริมาณน้ำตาล (กลูโคส) ที่จับตัวกับฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง เมื่อฮีโมโกลบินและกลูโคสจับตัวกัน น้ำตาลจะเคลือบฮีโมโกลบิน ยิ่งปริมาณน้ำตาลในเลือดมากเท่าไหร่ รอยเคลือบก็จะยิ่งมีชั้นหนาขึ้นเท่านั้น การตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด เป็นการวัดความหนาของรอยเคลือบในช่วงเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับอายุขัยของเซลล์เม็ดเลือดแดง ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือมีภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นมักพบว่ามีค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (น้ำตาลที่ติดอยู่กับฮีโมโกลบิน) มากกว่าปกติ นอกจากนี้ การตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด ยังสามารถใช้วินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) หรือเบาหวาน (Diabetes) ได้ โดยเป็นการตรวจสอบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาวในผู้ป่วยโรคเบาหวาน แพทย์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า การตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด หรือการตรวจหาระดับเอซีวันนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจว่าผู้ป่วยสามารถควบคุมเบาหวานได้ดีเพียงใด การตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองที่บ้านถือเป็นการวัดระดับน้ำตาลในเลือดในขณะหนึ่งเท่านั้น ซึ่งระดับน้ำตาลในเลือดสามารถเปลี่ยนแปลงในระหว่างวันจากสาเหตุหลายประการ เช่น การใช้ยา อาหาร การออกกำลังกาย และระดับอินซูลินในเลือด สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน มีข้อแนะนำว่า ควรต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว ซึ่งผลการตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือดจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยแปรผันต่าง ๆ เช่น อาหาร การออกกำลังกาย […]


การทดสอบทางการแพทย์

การตรวจความดันโลหิตที่บ้าน (Home Blood Pressure Test)

คำจำกัดความการตรวจความดันโลหิตที่บ้าน คืออะไร การตรวจความดันโลหิตที่บ้าน (Home Blood Pressure Test) ช่วยให้ติดตามค่าความดันโลหิตที่บ้านได้ด้วยตัวเอง โดยเป็นการวัดแรงดันของเลือดภายในหลอดเลือด คนส่วนใหญ่ใช้เครื่องมืออัตโนมัติเพื่อวัดความดันโลหิตที่บ้าน เครื่องมือนี้ทำงานโดยการเป่าลมเข้าไปยังสายรัดแขนที่จะใช้พันรอบแขนส่วนบนเพื่อหยุดกระแสเลือดในหลอดเลือดชั่วคราว ในขณะที่อากาศถูกปล่อยจากผ้ารัดแขนอย่างช้าๆ เครื่องมือวัดความดันโลหิตจะบันทึกค่าความดันขณะที่เลือดเริ่มไหลเวียนอีกครั้ง ความดันโลหิตจะถูกบันทึกเป็นสองค่า ตัวเลขแรกเป็นค่าความดันซิสโตลิก (systolic pressure) หมายถึงค่าความดันโลหิตสูงสุดที่เกิดขึ้นเมื่อหัวใจบีบตัว ตัวเลขที่สองเป็นค่าความดันไดแอสโตลิก (diastolic pressure) หมายถึงค่าความดันโลหิตต่ำสุดที่เกิดขึ้นเมื่อหัวใจคลายตัวในระหว่างการเต้นของหัวใจ ค่าความดันโลหิตสองประการนี้แสดงเป็นหน่วยมิลลิเมตรของปรอท (mm Hg) เนื่องจากเครื่องมือดั้งเดิมที่ใช้วัดความดันโลหิตเป็นการใช้ปรอท ค่าความดันโลหิตบันทึกเป็น systolic/diastolic เช่น หากค่าความดันซิสโตลิกมีค่าเป็น 120 mm Hg และค่าความดันไดแอสโตลิกมีค่าเป็น 80 mm Hg ค่าความดันโลหิตของคุณบันทึกเป็น 120/80 เครื่องมือวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ เครื่องมือวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องมือวัดความดันโลหิตอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัล เป็นเครื่องมือวัดความดันโลหิตแบบใช้แบตเตอรี่ที่ใช้ไมโครโฟนเพื่อจับจังหวะการไหลเวียนเลือด สายรัดแขน ซึ่งใช้พันโดยรอบแขนส่วนบนจะมีการดูดลมเข้าและปล่อยลมออกโดยอัตโนมัติเมื่อกดปุ่มเริ่มการทำงาน เครื่องมือวัดความดันโลหิตที่พบได้ทั่วไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา และชอปปิงมอลล์เป็นเครื่องมือแบบอัตโนมัติ ส่วนเครื่องมือวัดความดันโลหิตที่วัดค่าบริเวณนิ้วมือหรือข้อมือมักแสดงผลไม่แม่นยำและไม่แนะนำให้ซื้อ เครื่องมือวัดความดันโลหิตแบบธรรมดา เครื่องมือวัดความดันโลหิตแบบธรรมดาคล้ายคลึงกับเครื่องมือที่แพทย์ใช้เครื่องมือดังกล่าวที่เรียกว่าเครื่องวัดความดันชนิดปรอท (Sphygmomanometer) มักประกอบด้วยสายรัดแขน หลอดสำหรับบีบเพื่อเป่าลมเข้าสายรัดแขน เครื่องมือฟังเสียงหัวใจ (stethoscope หรือ microphone) และมาตรวัดเพื่อวัดความดันโลหิต การวัดความดันโลหิตทำได้โดยการหยุดการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดชั่วคราว (มักทำโดยการเป่าเข้าผ้ารัดแขนที่ใช้พันรอบแขนส่วนบน) จากนั้นวางเครื่องมือฟังเสียงหัวใจลงบนผิวหนังเหนือหลอดเลือดสามารถเริ่มฟังเสียงเลือดที่เริ่มไหลเวียนผ่านหลอดเลือดอีกครั้งในขณะที่ปล่อยอากาศออกจากสายรัดแขน ความดันโลหิตจะแสดงเห็นได้ในหน้าปัดรูปวงกลมที่มีเข็มชี้ ในขณะที่ความดันในสายรัดแขนเพิ่มขึ้น เข็มบนหน้าปัดจะเคลื่อนที่ตามเข็มนาฬิกา ในขณะที่ความดันของสายรัดแขนลดลง เข็มจะเคลื่อนที่ทวนเข็มนาฬิกา […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน