สังกะสี หรือ ซิงค์ คือ แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง ผม และเล็บ แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตและเก็บซิงค์ไว้ใช้ในภายหลังได้ จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีซิงค์เป็นประจำเพื่อให้ร่างกายได้รับซิงค์เพียงพอ และทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ซิงค์ คือ อะไร
สังกะสี หรือ ซิงค์ คือ แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ทั่วร่างกาย แร่ธาตุชนิดนี้แทรกซึมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ในกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นสารอาหารรองที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม ช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย และควบคุมการทำงานของเอนไซม์หลักของระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ซิงค์เป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง และไม่สามารถเก็บซิงค์ส่วนเกินเอาไว้ใช้ภายหลังได้ จึงจำเป็นต้องได้รับซิงค์จากการรับประทานอาหารที่หลากหลายเป็นประจำทุกวัน
ประโยชน์ของ ซิงค์ คือ อะไร
ซิงค์ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารเพื่อนำไปเป็นพลังงานให้เซลล์ในร่างกาย และมีบทบาทในการเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เร่งการสมานแผลและการสังเคราะห์โปรตีนและดีเอ็นเอ ช่วยในกระบวนการแบ่งเซลล์ กระตุ้นการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่สมบูรณ์ของร่างกายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ในวัยเด็ก ไปจนถึงช่วงวัยรุ่น ทั้งยังช่วยเสริมระบบประสาทในการรับรสชาติและการรับกลิ่นด้วย
หากร่างกายมีซิงค์ไม่เพียงพอ หรือมีภาวะขาดซิงค์ (Zinc deficiency) อาจทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติ เริ่มจากมีอาการทางผิวหนังคล้ายเป็นโรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) เกิดเป็นรอยแตกหรือผื่น ซึ่งไม่สามารถรักษาด้วยการใช้ครีมบำรุงผิว และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น ผมร่วง เล็บเปราะบาง ท้องเสีย ไม่อยากอาหาร ติดเชื้อง่าย หงุดหงิดง่าย บาดแผลหายช้า การรับรสชาติหรือกลิ่นผิดปกติ ร่วมด้วย
โดยทั่วไปแล้ว การรับประทานอาหารที่หลากหลายจะช่วยให้ได้รับซิงค์เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว คนทั่วไปจึงอาจไม่จำเป็นต้องรับประทานซิงค์ในรูปแบบอาหารเสริมเพิ่มเติม เว้นแต่ว่าในอาหารที่รับประทานมีซิงค์ต่ำ หรือได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะขาดซิงค์ (Zinc deficiency)
ซิงค์ในอาหารมีอะไรบ้าง
ซิงค์พบได้ในแหล่งอาหารหลากหลาย เช่น
อาหารทะเล เช่น ปลา ปู กุ้ง ล็อบสเตอร์ หอย โดยเฉพาะหอยนางรม ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง ข้าวสาลี จมูกข้าว เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อเป็ด รวมถึงเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่แดง พืชตระกูลถั่วและเมล็ดพืช เช่น ถั่วลูกไก่ ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดงา ผัก เช่น ผักชีฝรั่ง บรอกโคลี ปวยเล้ง ผักเคล มันฝรั่ง กระเทียม รวมไปถึงเห็ด ผลไม้ เช่น มะเขือเทศ อะโวคาโด กล้วย มะกอก ลูกพรุน แบล็กเบอร์รี บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี ทับทิม ฝรั่ง แคนตาลูป แอปริคอต พีช กีวี นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น โยเกิร์ตไขมันต่ำ ชีส โดยทั่วไปร่างกายจะสามารถดูดซึมซิงค์จากเนื้อสัตว์ได้ดีกว่าซิงค์จากธัญพืชเต็มเมล็ด เมล็ดพืช และพืชตระกูลถั่วที่มีไฟเตต (Phytates) ซึ่งเป็นสารที่จับตัวกับซิงค์ ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมซิงค์ไปใช้ในร่างกายได้น้อยลง นอกจากนี้ ในผักและผลไม้ต่าง ๆ ยังมีซิงค์ในปริมาณน้อยกว่าเนื้อสัตว์มาก ผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์จึงอาจเสี่ยงเกิดภาวะขาดซิงค์ได้มากกว่า และอาจต้องรับประทานอาหารเสริมซิงค์เพื่อให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุชนิดนี้อย่างเพียงพอ
ปริมาณซิงค์ที่ควรได้รับต่อวัน
ปริมาณซิงค์ที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน อาจแบ่งตามช่วงอายุได้ดังนี้
- ทารก 0-6 เดือน ควรได้รับซิงค์ 2 มิลลิกรัม/วัน
- ทารก 7-12 เดือน ควรได้รับซิงค์ 3 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับซิงค์ 3 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับซิงค์ 5 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 9-13 ปี ควรได้รับซิงค์ 8 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กผู้หญิงอายุ 14-18 ปี ควรได้รับซิงค์ 9 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กผู้ชายอายุ 14-18 ปี ควรได้รับซิงค์ 11 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ใหญ่เพศหญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับซิงค์ 8 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ใหญ่เพศชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับซิงค์ 11 มิลลิกรัม/วัน
- สตรีตั้งครรภ์ ควรได้รับซิงค์ 11-12 มิลลิกรัม/วัน
- สตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรได้รับซิงค์ 12-13 มิลลิกรัม/วัน
ข้อควรระวังในการบริโภค ซิงค์ คือ อะไรบ้าง
โดยทั่วไป การได้รับซิงค์จากอาหารมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง แต่หากรับประทานอาหารเสริมซิงค์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางประการ เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน นอกจากนี้ การรับประทานซิงค์ปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานาน ยังอาจทำให้เกิดภาวะขาดแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น ทองแดง เหล็ก เนื่องจากเมื่อร่างกายมีซิงค์ในระดับสูงจะดูดซึมทองแดงและเหล็กได้น้อยลง และซิงค์จะไปแทนที่ทองแดงและเหล็ก จนอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางและปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น แขนขาชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง
โดยทั่วไป ควรจำกัดการบริโภคซิงค์ไม่ให้เกิน 40 มิลลิกรัม/วัน และเด็กทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือนได้รับซิงค์เกิน 4 มิลลิกรัม/วัน อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ซิงค์พ่นจมูก (Intranasal Zinc) เพื่อแก้หวัด เพราะอาจกระทบต่อระบบประสาทและทำให้สูญเสียการได้กลิ่นบางส่วนหรือทั้งหมด
นอกจากนี้ ซิงค์อาจมีปฏิกิริยากับยารักษาโรคบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานซิงค์ในเวลาใกล้เคียงกับยาต่อไปนี้
- ยาปฏิชีวนะ เช่น ควิโนโลน (Quinolones) เตตราไซคลีน (Tetracycline) เพราะซิงค์อาจไปขัดขวางการทำงานของยาในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ควรรับประทานยาปฏิชีวนะ 2 ชั่วโมงก่อนรับประทานซิงค์ หรือรับประทานซิงค์ 4-6 ชั่วโมงหลังรับประทานยาปฏิชีวนะ
- ยาเพนิซิลลามีน (Penicillamine) ใช้รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หากรับประทานยานี้พร้อมซิงค์ อาจลดประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดข้อเข่าได้ จึงควรรับประทานซิงค์ก่อนหรือหลังรับประทานยานี้ประมาณ 2 ชั่วโมง
- ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide Diuretic) ใช้รักษาความดันโลหิตสูงด้วยการขับของเหลวในร่างกายออกทางปัสสาวะ การรับประทานซิงค์พร้อมยากลุ่มนี้อาจทำให้ร่างกายขับซิงค์ที่รับประทานเสริมเข้าไปออกมาทางปัสสาวะในปริมาณมาก