การรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 6 วิตามินบี 9 และวิตามินบี 12 อาจช่วยลดระดับโปรตีนโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ที่อาจเกี่ยวข้องกับการอักเสบ และเพิ่มความเสี่ยงโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age related Macular degeneration หรือ AMD) ที่ส่งผลต่อการมองเห็นและอาจทำให้ตาบอด เช่น ปลาแซลมอน ทูน่า ธัญพืช ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม ชีส โยเกิร์ต หัวผักกาด ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดาว และบร็อคโคลี่
วิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องดวงตา อีกทั้งยังอาจช่วยป้องกันโรคต้อกระจก จึงควรรับประทานอาหารที่มีไรโบฟลาวิน 1.1–1.3 มิลลิกรัม/วัน แหล่งอาหารสำคัญของวิตามินบี 2 เช่น ข้าวโอ๊ต นม โยเกิร์ต เนื้อวัว ซีเรียล
วิตามินบี 3 หรือ ไนอาซิน (Niacin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีบทบาทในการป้องกันความเสียหายต่อเส้นประสาทดวงตาหรือโรคต้อหิน ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไปควรได้รับไนอาซิน 14 มิลลิกรัม/วัน และผู้หญิง 18 มิลลิกรัม/วัน สำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรได้รับ 17 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งสามารถหาได้จากแหล่งอาหาร เช่น เนื้อวัว สัตว์ปีก ปลา เห็ด ถั่วลิสงและพืชตระกูลถั่ว
วิตามินซี
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่อและเซลล์ และอาจช่วยปกป้องดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ที่ก่อให้เกิดปัญหาต้อกระจกตามอายุ นอกจากนี้ วิตามินซียังจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อดวงตาโดยเฉพาะตาขาวและกระจกตา
แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม แคนตาลูป กีวี มะเขือเทศ พริกหยวก บร็อคโคลี่ คะน้า
ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน ผู้ชายและผู้หญิงควรได้รับ 75 มิลลิกรัม/วัน สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรได้รับ 85 มิลลิกรัม/วัน และ 120 มิลลิกรัม/วัน ตามลำดับ
วิตามินอี
วิตามินอี หรือ อัลฟาโทโคฟีรอล (Alpha tocopherol) มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากอนุมูลอิสระอาจทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงอาจทำลายเซลล์โปรตีนภายในดวงตา ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้
แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี เช่น ธัญพืช ถั่ว อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ปลาแซลมอน น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด อะโวคาโด บร็อคโคลี่ และผักใบเขียว
ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อวัน ผู้ชายและผู้หญิงอายุ 14 ปีขึ้นควรได้รับ 15 มิลลิกรัม/วัน ผู้หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรได้รับ 15 มิลลิกรัม/วัน และ 19 มิลลิกรัม/วัน ตามลำดับ
สารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงสายตา
นอกเหนือจากวิตามินบำรุงสายตาแล้ว ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่อาจช่วยบำรุงสายตาได้ ดังนี้
กรดไขมันโอเมก้า 3
เรตินาหรือจอประสาทตาประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยปกป้องเรตินาจากความเสียหายและการเสื่อมสภาพของดวงตา การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคตาแห้ง นอกจากนี้ ยังช่วยลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปยังเรตินา ลดความเสี่ยงโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ โดยปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ควรได้รับในผู้หญิง คือ 1.1 กรัม/วัน และ ในผู้ชาย คือ 1.6 กรัม/วัน
แหล่งอาหารสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาทะเล แซลมอน ทูน่า ปลาซาร์ดีน วอลนัท น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดเจีย (Chia Seed)
ลูทีนและซีแซนทีน (Zeaxanthin)
ลูทีนและซีแซนทีนเป็นส่วนประกอบของเลนส์และเรตินาของดวงตา การรับประทานอาหารที่มีสารลูทีนและซีแซนทีนสูง เช่น ผักใบเขียว อาจช่วยลดความเสียหายในเรตินา และอาจลดความเสี่ยงโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ โดยปริมาณลูทีนที่ควรได้รับ คือ 10 มิลลิกรัม/วัน และปริมาณซีแซนทีนควรได้รับ คือ 2 มิลลิกรัม/วัน
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย