โรค เรื้อน (Leprosy) คือ โรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Mycobacterium leprae เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบประสาทที่แขน ขา ผิวหนัง เยื่อบุจมูก และทางเดินหายใจส่วนบน
คำจำกัดความ
เรื้อน คืออะไร
เรื้อน (Leprosy) คือโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Mycobacterium leprae เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบประสาทที่แขน ขา ผิวหนัง เยื่อบุจมูก และทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง เส้นประสาทเกิดความเสียหาย และทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง
หากปล่อยไว้ไม่รักษา โรคเรื้อนอาจจะทำให้ระบบประสาทเสียหาย ส่งผลให้บริเวณมือและแขนอาจเป็นอัมพาตได้ นอกจากนี้ โรคเรื้อนยังอาจลดประสิทธิภาพของประสาทสัมผัส ทำให้รับรู้ความรู้สึกได้น้อยลง ผู้ป่วยจึงอาจจะไม่รู้สึกตัวเมื่อเกิดบาดแผล และทำให้บาดแผลนั้นรุนแรงขึ้นได้
โรค เรื้อน พบบ่อยแค่ไหน
โรคเรื้อนี้สามารถพบได้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น หรือกึ่งเขตร้อน เช่น ประเทศไทย อีกทั้งยังสามารถเกิดได้กับคนทุกเทศทุกวัย ตั้งแต่ไปทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ
อาการ
อาการของโรค เรื้อน
โรคเรื้อนจะส่งผลต่อผิวหนังและระบบประสาทในบริเวณสมองและไขสันหลัง นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลต่อดวงตาและเนื้อเยื่อภายในโพรงจมูกอีกด้วย
อาการทางผิวหนัง อาจมีดังต่อไปนี้
- ผิวบางส่วนเปลี่ยนสี อาจจะมีสีจางกว่าบริเวณรอบข้าง และอาจจะมีอาการชาร่วมด้วย
- มีตุ่มขึ้นบนผิวหนัง
- ผิวแห้ง หนา และแข็ง
- มีแผลเกิดขึ้นบริเวณเท้าหรือมือ
- ใบหน้า หรือติ่งหูบวมขึ้น
- ขนคิ้วและขนตาร่วง
อาการที่เกิดขึ้นกับระบบประสาท อาจมีดังต่อไปนี้
- ผิวหนังบางส่วนมีอาการชา
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- เป็นอัมพาต โดยเฉพาะบริเวณมือและขา
- เส้นประสาทบวมขึ้น
- มีปัญหาในการมองเห็น
อาการที่เกิดขึ้นกับเยื่อเมือกในโพรงจมูก อาจมีดังต่อไปนี้
- คัดจมูก แน่นจมูก
- หายใจไม่ค่อยออก
- เลือดกำเดาไหล
สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษาแพทย์
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
หากคุณมีสัญญาณหรืออาการที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถามเกี่ยวกับอาการของโรคโปรดปรึกษาแพทย์
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของโรคเรื้อน
โรคเรื้อนเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium leprae ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีอัตราการเจริญเติบโจช้าชนิดหนึ่ง และสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้
แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อ Mycobacterium leprae ติดต่อสู่ผู้อื่นได้ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อาจเกิดจากผู้ติดเชื้อ Mycobacterium leprae ไอหรือจามใส่ผู้อื่น เนื่องจากเชื้อ Mycobacterium leprae มักจะอยู่ในละอองฝอยของผู้ป่วย นอกจากนี้ การอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อโรคเรื้อนได้เช่นกัน
โรคเรื้อนไม่ติดต่อกันผ่านทางการสัมผัส เช่น การจับมือ การกอด การนั่งข้างกัน การนั่งรถคันเดียวกัน และไม่ติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อน ก็จะไม่ส่งต่อโรคนี้ไปสู่ทารกในครรภ์เช่นกัน
โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อน
ผู้ที่อาศัยอยู่ในบางประเทศ อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อนมากกว่าที่อื่น ประเทศที่มีรายงานพบผู้ป่วยโรคเรื้อนมากกว่า 1,000 ราย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2554-2558 ตามรายงานของ WHO ได้แก่ประเทศดังต่อไปนี้
- คองโก
- เอธิโอเปีย
- มาดากัสการ์
- โมซัมบิก
- ไนจีเรีย
- แทนซาเนีย
- บังกลาเทศ
- อินเดีย
- อินโดนีเซีย
- เมียนมาร์
- เนปาล
- ฟิลิปปินส์
- ศรีลังกา
- บราซิล
นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องใกล้ชิดหรืออาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคเรื้อนเป็นเวลานาน ก็อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อนได้เช่นกัน
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคเรื้อน
ในการวินิจฉัยโรคเรื้อน แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อหาสัญญาณและอาการของโรคเรื้อน และอาจต้องมีการตรวจด้วยวิธีดังต่อไปนี้ร่วมด้วย
- การตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจ (Biospy) เพื่อดูว่าใช่โรคเรื้อนหรือไม่
- การทดสอบเลโปรมินทางผิวหนัง (lepromin skin test) เพื่อตรวจสอบว่าเป็นโรคเรื้อนประเภทใด
การรักษาโรคเรื้อน
วิธีการรักษาโรคเรื้อนขึ้นอยู่กับประเภทของโรคเรื้อนที่เป็นอยู่ โดยวิธีการรักษาที่นิยมได้แก่ การใช้ยาปฏิชีวนะต่าง ๆ เช่น
- แดปโซน (Dapsone)
- ไรแฟมพิน (Rifampin)
- คลอฟาซิมีน (Clofazimine)
- มิโนไซคลีน (Minocycline)
การรักษาโรคเรื้อนส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 6-12 เดือน หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงก็อาจต้องรักษานานกว่านั้น คุณอาจต้องรับประทานยาต้านอักเสบด้วย เพื่อช่วยควบคุมอาการปวดประสาทและอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายต่อระบบประสาทที่มาพร้อมกับโรคเรื้อน นอกจากนี้ คุณอาจต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยรักษาตุ่มเรื้อนที่ผิวหนังด้วยเช่นกัน แต่หากคุณตั้งครรภ์โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา เพราะยานี้อาจส่งผลให้แท้งบุตรได้
การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองที่ช่วยจัดการกับโรคเรื้อน
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองด้วยวิธีต่อไปนี้ อาจช่วยให้คุณรับมือกับโรคเรื้อนได้ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองผิวหนัง เช่น น้ำหอม ครีมอาบน้ำ สบู่แรง ๆ แสงแดด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคเรื้อนรุนแรงกว่าเดิม
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ติดโรค คุณอาจต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันในระหว่างการรักษาโรคเรื้อน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลงและมีโอกาสติดโรคต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น คุณจึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การติดโรค เช่น ไม่ล้างมือก่อนกินข้าว อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
หากมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ