น้ำยาซักผ้าเด็ก เป็นผลิตภัณฑ์ที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องเลือกซื้ออย่างระมัดระวัง เนื่องจากเด็กยังมีร่างกายและผิวหนังที่บอบบาง อาจระคายเคืองต่อสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด และหลีกเลี่ยงส่วนประกอบที่อาจระคายเคืองต่อผิวและระบบทางเดินหายใจของเด็ก เช่น น้ำหอมเข้มข้น สารเพิ่มความนุ่ม แอลกอฮอล์ ทั้งนี้ ควรศึกษาการใช้น้ำยาซักผ้าเด็กอย่างถูกวิธี เพื่อความปลอดภัยในการสวมใส่เสื้อผ้า และลดอาการที่ไม่พึงประสงค์ เช่น คัดจมูก ภูมิแพ้ ผดผื่น ระคายเคือง ไม่สบายตัวของเด็กได้
[embed-health-tool-vaccination-tool]
วิธีเลือกซื้อ น้ำยาซักผ้าเด็ก
อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด
เลือกน้ำยาซักผ้าเด็กที่มีฉลากระบุว่าเป็นสูตรอ่อนโยนต่อผิว หรือเหมาะสำหรับผิวบอบบาง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคืองต่อผิวที่แพ้ง่ายหรือบอบบาง เช่น สูตรออร์แกนิคที่ทำจากน้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีส่วนผสมของควอท (Quats) ที่เป็นสารเพิ่มความนุ่ม เพราะอาจทำให้ผิวและระบบทางเดินหายใจของเด็กระคายเคืองและอักเสบได้
สามารถใช้น้ำยาซักผ้าแบบปกติได้
การเลือกใช้น้ำยาซักผ้าเด็กไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเสมอไป หากเด็กไม่ได้มีปัญหาผิวแพ้ง่ายหรือเป็นโรคภูมิแพ้ ก็สามารถใช้แบบเดียวกับคนที่บ้านได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนชนิดหรือซื้อมาใช้เพิ่ม แต่หากใช้แบบทั่วไปแล้วผิวเด็กมีอาการแพ้ หรือมีผื่นคันขึ้นตามตัว อาจพิจารณาเลือกซื้อน้ำยาซักผ้าเด็กโดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่เข้มข้นน้อยกว่า
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบผง
ควรเลือกใช้น้ำยาซักผ้าเด็กที่เป็นแบบน้ำยามากกว่าแบบผง เนื่องจากแบบผงละลายน้ำได้ยากกว่า จึงอาจทำให้ผงซักผ้าละลายไม่หมดและจับตัวเป็นก้อน มีฟองเยอะ และล้างออกยากกว่า ทำให้มีสารเคมีตกค้างหลังซักเสร็จ ซึ่งอาจส่งผลให้ผิวเด็กระคายเคืองได้
ไม่มีส่วนประกอบที่อาจเป็นอันตราย
เลือกใช้น้ำยาซักผ้าเด็กที่ไม่มีส่วนผสมของสารพาราเบน สารกลุ่มพาทาเลต (Phthalate) แอลกอฮอล์ น้ำหอม และสีย้อม ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวเด็กซึ่งบอบบางและไวต่อสารเคมี
เคล็ดลับการซักผ้าเด็กให้ปลอดภัยกับเด็ก
การซักผ้าให้ปลอดภัยกับเด็ก มีดังนี้
- เมื่อซื้อเสื้อผ้าเด็กมาใหม่ ควรซักก่อนใช้งานทุกครั้ง เพราะเสื้อผ้าใหม่เหล่านี้อาจมีสารเคมีจากกระบวนการผลิตเสื้อผ้าติดมาด้วย สารเคมีต่าง ๆ ที่หลงเหลืออยู่บนเนื้อผ้า เช่น สีย้อมผ้า สารลดแรงตึงผิว สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองต่อทั้งระบบทางเดินหายใจรวมไปถึงผิวหนัง ส่งผลให้ระคายผิว เกิดอาการภูมิแพ้ มีผดผื่นและคัดจมูกได้ จึงควรซักเสื้อผ้าเด็กให้สะอาดเพื่อชำระล้างสารเคมีและคราบสกปรกจากการขนส่งทุกครั้งก่อนให้สัมผัสกับเด็กโดยตรง
- หากใช้น้ำยาซักผ้าเด็กแล้วรู้สึกว่าขจัดคราบและสิ่งสกปรกได้ไม่ดีเหมือนน้ำยาซักผ้าทั่วไป ให้กลับมาใช้น้ำซักผ้าปกติที่ที่ไม่ผสมสี น้ำหอมเข้มข้น หรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยอาจสังเกตหลังซักและนำมาใช้ครั้งแรกเพื่อสังเกตอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นกับผิวเด็ก หากไม่มีก็สามารถใช้ได้ตามปกติ
- หากเสื้อผ้าเด็กเกิดคราบเปื้อน ควรใช้ทิชชู่เปียกเช็ดขจัดคราบออกทันที หรือนำเสื้อผ้าไปแช่น้ำผสมน้ำยาซักผ้าแล้วซักทันที ไม่ควรทิ้งผ้าที่มีรอยเปื้อนไว้นานจนเกินไปหากเป็นไปได้ ควรซักผ้าเด็กทุกวัน เพื่อสุขอนามัยที่ดี เนื่องจากเด็กมักจะมีคราบน้ำลาย คราบปัสสาวะและอุจจาระ รวมไปถึงคราบอาหาร นม หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ เช่น น้ำผลไม้ มักติดอยู่ตามเสื้อผ้าและผ้าอ้อมอยู่เสมอ หากทิ้งไว้เกิน 24 ชม. มักมีแบคทีเรียหรือเชื้อราขึ้นตามเสื้อผ้าได้
- ควรแยกผ้าอ้อมแบบผ้าออกจากผ้าที่ซักตามปกติ เพราะการซักเสื้อผ้าเด็กรวมกับผ้าอ้อมอาจทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมได้ ให้ล้างผ้าอ้อมทเปื้อนและใช้แล้วให้สะอาดในน้ำเย็น (หากเปื้อนมากให้ล้างหลายๆน้ำ) จากนั้นผสมน้ำกับน้ำยาฟอกขาวปริมาณเล็กน้อย แช่ไว้สักครู่ แล้วซักด้วยน้ำยาซักผ้าเด็กอ่อน ๆ ในน้ำร้อน เป็นเวลา 2 ครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าล้างอย่างสะอาดหมดจด
- ใช้ถุงตาข่ายสำหรับซักและตากถุงเท้าเด็ก และติดแถบตีนตุ๊กแกหรือรูดซิปให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ไปหลุดออกไปเกาะเสื้อผ้าชิ้นอื่น
- ควรเก็บน้ำยาซักผ้าให้พ้นสายตาและมือเด็ก อาจนำไปวางบนชั้นวางที่สูงจนเด็กไม่สามารถนำมาเปิดเล่นได้ หรือเก็บใส่ตู้และใช้ตัวล็อกปิดประตูสำหรับกันเด็กโดยเฉพาะ เนื่องจากน้ำยาซักผ้าอาจมีสีสันสดใสที่ทำให้เด็กสนใจนำมาเล่น และอาจเผลอดื่มจนเป็นอันตรายได้
- หากต้องการซักผ้าด้วยส่วนผสมที่อ่อนโยนและไร้สารเคมีตกค้าง อาจเลือกซักเสื้อผ้าเด็กด้วยส่วนผสมต่อไปนี้
-
- ผสมสบู่น้ำมันมะพร้าวกับโซดาซักผ้าหรือโซเดียมคาร์บอเนตประมาณ 6 ถ้วยตวง ใช้แทนน้ำยาซักผ้าทั่วไปได้ เป็นสูตรอ่อนโยนเหมาะสำหรับซักผ้าเด็ก
- เติมน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวงลงไปในน้ำยาซักผ้าในตอนที่ซักน้ำรอบสุดท้าย เพื่อช่วยปรับระดับค่าความเป็นด่างของน้ำยาซักผ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับผิว ลดความระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้ ควรล้างน้ำเปล่าอีกอย่างน้อย 2-3 น้ำ เพื่อขจัดสารซักล้างให้ออกจนหมด