2. โรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสเป็นโรคในเด็กที่พบได้บ่อยโดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster) ที่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับตุ่มอีสุกอีใส และการสูดดมละอองจากสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อจากการไอและจามเข้าสู่ทางเดินหายใจ ซึ่งตุ่มอีสุกอีใสจะปรากฏหลังจากร่างกายได้รับเชื้อ 10-21 วัน โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเด็กได้ ดังต่อไปนี้
- ตุ่มอีสุกอีใสปรากฏขึ้นบนผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย เช่น ใบหน้า หนังศีรษะ รักแร้ ลำตัว แขน ขา ในช่องปาก และอาจแตกออกจนกลายเป็นแผลพุพอง ตกสะเก็ด
- มีไข้
- ไอ และน้ำมูกไหล
- ปวดศีรษะ
- รู้สึกเบื่ออาหาร
- เหนื่อยล้า รู้สึกไม่สบายตัว
- ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
ควรพาเด็ก ๆ เขาพบคุณหมอทันที หากตุ่มอีสุกอีใสลุกลามไปยังบริเวณดวงตา มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส วิงเวียนศีรษะ หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว อาเจียน และอาการไอรุนแรงขึ้น เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคปอดอักเสบ อาการชัก โรคไข้สมองอักเสบ การติดเชื้อที่เนื้อเยื่อ กระดูก ข้อต่อและกล้ามเนื้อ
การรักษาโรคอีสุกอีใส
สำหรับเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีอาการรุนแรงอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล คุณหมออาจแนะนำให้รักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาแก้แพ้และคาลาไมน์โลชั่นเพื่อบรรเทาอาการคัน ใช้ยาอะเซตามิโนเฟนเพื่อลดไข้ และให้เด็ก ๆ พักผ่อนและดื่มน้ำให้มาก ๆ ป้องกันร่างกายขาดน้ำ
แต่สำหรับเด็กที่มีอาการอีสุกอีใสรุนแรง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน คุณหมออาจให้รับประทานยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) ภายใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค
การป้องกันโรคอีสุกอีใส
การป้องกันโรคอีสุกอีใสอาจทำได้ด้วยการระมัดระวังไม่ให้เด็กอยู่ใกล้กับผู้ป่วยอีสุกอีใส สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปยังพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด และควรพาเด็ก ๆ เข้ารับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส โดยอาจเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน สำหรับโดสแรก และตั้งแต่ 18 เดือน – 4 ปี สำหรับโดสที่สองแต่หากเป็นช่วงที่โรคกำลังระบาดสามารถรับโดสสองห่างจากโดสแรกได้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป
สำหรับเด็กโตที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ควรฉีดทันทีเมื่ออายุ 7-12 ปี จำนวน 2 โดส โดยแต่ละโดสห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน และสำหรับเด็กโตอายุ 13 ปีขึ้นไป ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ควรฉีดให้ครบ 2 โดส แต่ละโดสห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์
3. โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากเป็นโรคในเด็กที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งชนิดที่พบบ่อยที่สุด คือ คอกซากีไวรัส เอ 16 (Coxsackievirus A16) ที่สามารถได้รับผ่านการสูดดมสารคัดหลั่งจากการไอและจามเข้าสู่ทางเดินหายใจ หรือการสัมผัสกับของเหลวจากแผล โดยอาการของโรคมือเท้าปากอาจปรากฏขึ้นหลังจากเด็กได้รับเชื้อ 3-6 วัน ดังนี้
- มีผื่นแดงแต่ไม่มีอาการคัน พบได้มากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และก้น
- แผลพุพองพร้อมอาการแสบที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม
- มีไข้
- เจ็บคอ
- น้ำลายไหล
- รู้สึกเบื่ออาหาร
- หงุดหงิดง่าย
การรักษาโรคมือเท้าปาก
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย