โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงในจมูกและลำคอ ในกรณีส่วนใหญ่ โรคนี้สังเกตได้จากอาการไอแค็ก ๆ ตามด้วยการเกิดเสียงแหลมดังขึ้นขณะหายใจเข้า
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
โรคไอกรนคืออะไร
โรคไอกรน (Whooping cough) หรือ Pertussis จัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงในจมูกและลำคอ ในกรณีส่วนใหญ่ โรคนี้สังเกตได้จากอาการไอแค็ก ๆ ตามด้วยการเกิดเสียงแหลมดังขึ้นขณะหายใจเข้า โรคไอกรนสามารถแพร่กระจายได้ง่าย แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน DTaP และวัคซีน Tdap ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
โรคไอกรนพบบ่อยเพียงใด
โรคไอกรนพบในทารกและเด็กมากกว่าวัยผู้ใหญ่ แต่สามารถส่งผลต่อผู้ป่วยได้ทุกวัย สามารถจัดการได้โดยลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อาการ
อาการของโรคไอกรน
ระยะเวลาแสดงอาการของโรคมักอยู่ที่ประมาณ 10 วันหลังจากได้รับเชื้อ โดยสิ่งบ่งชี้และอาการทั่วไปของไอกรนในระยะเริ่มแรกมักไม่รุนแรงและคล้ายคลึงกับอาการหวัดโดยทั่วไป เช่น
- น้ำมูกไหล
- คัดจมูก
- ตาแดงและน้ำตาไหล
- มีไข้
- ไอ
หลังจาก 1-2 สัปดาห์ผ่านไป สิ่งบ่งชี้และอาการจะเริ่มแย่ลง โดยจะมีอาการไอรุนแรงและเป็นเวลานาน ซึ่งก่อให้เกิดอาการร่วมต่างๆ ดังนี้
- อาเจียน
- ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือเขียวคล้ำ
- อ่อนเพลียมาก
- หายใจแล้วมีเสียงแหลมเกิดขึ้น
อาจไม่พบอาการไอในทารกที่เป็นโรคไอกรน แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจหรืออาจหยุดหายใจชั่วคราว อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์
ควรไปพบหมอเมื่อใด
ควรไปพบหมอหากมีอาการใดๆ ดังต่อไปนี้
- อาเจียน
- ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือเขียว
- หายใจลำบากหรือหยุดหายใจอย่างสังเกตได้
- หายใจเข้าแล้วมีเสียงดัง
สาเหตุ
สาเหตุของโรคไอกรน
แบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรคไอกรน โดยเมื่อสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรืออยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อที่ไอหรือจาม แล้วอาจหายใจเอาละอองขนาดเล็กที่มีเชื้อที่แพร่กระจายในอากาศเข้าสู่ปอด
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคไอกรน
มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ทำให้เกิดโรคไอกรน เช่น
- วัคซีนไอกรนที่ได้รับในวัยเด็กหมดฤทธิ์ไป
- เด็กที่เพิ่งได้รับวัคซีน ระหว่างการฉีดวัคซีน เด็กจะยังไม่มีภูมิต้านทานเต็มที่ โดยต้องรอจนกว่าจะได้รับวัคซีนอย่างน้อยสามครั้งจึงจะมีภูมิต้านทานโรค เพราะฉะนั้น ระยะเวลา 6 เดือน ระหว่างการรับฉีดวัคซีนมักมีความเสี่ยงที่เด็กจะได้รับเชื้อไอกรนได้
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้ ไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคไอกรน
อาการของโรคไอกรนมักไม่แสดงให้เห็นในระยะเริ่มแรก หรืออาจมีอาการเหมือนกับโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจทั่วไป เช่น หวัด ไข้หวัด หรือโรคหลอดลมอักเสบ ซึ่งยากที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน ในบางกรณี แพทย์อาจต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับอาการต่างๆ และฟังลักษณะเสียงไอ เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ
หากแพทย์ต้องการยืนยันการวินิจฉัย ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการทดสอบบางประการ เช่น การเพาะเชื้อและการทดสอบจมูกและลำคอ การตรวจเลือด หรือการเอ็กซเรย์หน้าอก
การเพาะเชื้อและการทดสอบจมูกและลำคอหมายถึงการป้ายหรือดูดเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อบริเวณที่จมูกและลำคอเชื่อมต่อกันเพื่อตรวจหา
ร่องรอยของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคไอกรน การตรวจเลือดต้องทำในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว นอกจากนี้
อาจมีการเอ็กซเรย์หน้าอกเพื่อตรวจหาการอักเสบหรือของเหลวในปอด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นเมื่อปอดบวมทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
การรักษาโรคไอกรน
การรักษาไอกรนในระยะเริ่มแรกสามารถใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าแบคทีเรียที่ทำให้เกิดไอกรน ทั้งยังช่วยลดอาการต่างๆ และเร่งการฟื้นตัวของร่างกาย หรือหากมีการวินิจฉัยไอกรนช้าเกินไป ยาปฏิชีวนะยังคงออกฤทธิ์ได้ดี ในบางกรณี สมาชิกในครอบครัวอาจจำเป็นได้รับยาปฏิชีวนะด้วยเพื่อป้องกันการติดต่อ
หากอาการไอทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ อาจมีความเสี่ยงของภาวะขาดน้ำ ซึ่งควรติดต่อแพทย์ทันที
โรคไอกรนจะมีอันตรายมากกว่าหากเกิดในทารก จึงเป็นเหตุผลที่ทารกมักจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หากทารกมีปัญหาเกี่ยวกับการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร อาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือ โดยแพทย์อาจให้แยกทารกออกจากผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แต่หากเป็นเด็กโต อาจให้การรักษาที่บ้านก็ได้
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อรับมือกับไอกรน
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการการดูแลรักษาตัวเองดังต่อไปนี้ อาจช่วยให้รับมือกับโรคไอกรนได้
- ควรพักผ่อนให้มากขึ้น
- แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้ และน้ำซุปมากๆ เพื่อเพิ่มของเหลวในร่างกาย
- การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันการอาเจียนหากเกิดอาการไอได้
- การฟอกอากาศเป็นสิ่งจำเป็นในการกำจัดสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการไอ เช่น ควันบุหรี่และควันไฟจากเตาไฟ
- ควรป้องกันการแพร่เชื้อโดยการปิดปากขณะไอและล้างมืออย่างสม่ำเสมอ