ฝีที่ขาหนีบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus Aureus และ Group A Streptococcus ทำให้เกิดตุ่มบวมบริเวณขาหนีบ มีหนองอยู่ข้างใน และมักจะรู้สึกเจ็บเมื่อถูกสัมผัสหรือเสียดสี ฝีที่ขาหนีบสามารถหายเองได้หากอยู่ในระดับไม่รุนแรง โดยใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ หากฝีอยู่ในระดับรุนแรง หรืออาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอ เพื่อให้คุณหมอผ่าฝีแล้วดูดหนองออกซึ่งจะทำให้เม็ดฝีค่อย ๆ ยุบลง นอกจากนี้ สามารถดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดฝีที่ขาหนีบ เช่น รักษาสุขอนามัยด้วยการล้างมือเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ทำความสะอาดเสื้อผ้าและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวเสมอ
[embed-health-tool-bmi]
ฝีที่ขาหนีบ เกิดจากอะไร
ฝี หมายถึง ตุ่มบวมบนผิวหนัง หรือบริเวณของผิวหนังที่นูนขึ้นมา ลักษณะเป็นสีแดงอมชมพู มีหนองอยู่ข้างใน และมีหัวสีออกเหลือง ทั้งนี้ เมื่อเป็นฝี จะรู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองเมื่อสัมผัสหรือเสียดสี
โดยทั่วไป ฝีที่ขาหนีบ รวมถึงฝีตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus Aureus และ Group A Streptococcus ซึ่งสามารถพบได้บนผิวหนังหรือในรูจมูก
แบคทีเรียชนิดนี้ ปกติจะไม่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ยกเว้นในกรณีที่แบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผล รอยขีดข่วน หรือรูขุมขน ซึ่งส่งผลให้เกิดการติดเชื้อหรือเป็นฝีได้
ทั้งนี้ ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เป็นฝีที่ขาหนีบ ประกอบด้วย
- การสวมใส่เสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่รัดแน่น
- การนั่งที่เดิมเป็นเวลานานจนก่อให้เกิดการอับชื้นบริเวณขาหนีบ
- การไม่ดูแลและรักษาความสะอาดร่างกาย
- การใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ชุดชั้นใน เครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว
- การถูกแมลงกัดหรือต่อย และไม่รีบดูแลทำความสะอาดแผล
- โรคอ้วนหรือการมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อ ส่งผลให้เกิดตุ่มคล้ายฝีขึ้นตามร่างกายบ่อยครั้ง
- การสูบบุหรี่ อาจก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อบริเวณขาหนีบและนำไปสู่การเป็นฝีที่ขาหนีบได้
ฝีที่ขาหนีบ มีอาการอย่างไร
เมื่อเป็นฝีที่ขาหนีบ มักมีลักษณะดังต่อไปนี้
- อาการเริ่มต้น จะเกิดฝีเม็ดเล็ก ๆ คล้ายสิวบริเวณขาหนีบและอาจมีอาการคันร่วมด้วย ก่อนจะกลายเป็นฝีขนาดใหญ่ภายใน 2-3 วันหลังจากนั้น
- ฝีอาจขึ้นเพียงเม็ดเดียว หรือขึ้นพร้อมกันหลายเม็ดก็ได้ มักทำให้เจ็บปวดหรือไม่สบายตัว โดยเฉพาะเมื่อสวมใส่กางเกงหรือกระโปรงที่รัดตึงหรือแนบแน่นไปกับผิวหนัง
- ฝีที่ขาหนีบอาจให้ความรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัสโดน และผิวหนังโดยรอบมักเป็นสีแดง
- เกิดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุของฝี และอาจเกิดการแพร่กระจายไปยังผิวหนังบริเวณรอบ ๆ และทำให้เกิดภาวะเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบได้ ทั้งนี้ เมื่อมีภาวะเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ ผู้ป่วยมักมีไข้ร่วมด้วย
- หากเม็ดฝีเกิดขึ้นใกล้ ๆ กัน ฝีจะรวมกันเป็นฝีฝักบัว (Carbuncles) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าฝีปกติ มักมีอาการรุนแรงโดยเฉพาะในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่แข็งแรง นอกจากนั้น ฝีฝักบัวยังอาจเป็นซ้ำได้ หากการรักษาไม่สมบูรณ์
- ฝีที่ขาหนีบมักยุบตัวลงและอาการปวดบวมมักค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่เมื่อหายแล้วมักทิ้งรอยแผลเป็นไว้
ฝีที่ขาหนีบดูแลรักษาเบื้องต้นด้วยตนเองอย่างไร
โดยทั่วไป ฝีที่ขาหนีบสามารถดูแลและรักษาได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- ประคบร้อน ด้วยผ้าอุ่น ๆ หรือถุงประคบ วันละหลาย ๆ ครั้ง ครั้งละประมาณ 10 นาที จะช่วยให้ฝีที่ขาหนีบหายเร็วขึ้น เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้ฝีแตกและมีหนองซึมออกมาเอง และฝีจะค่อย ๆ ยุบตัวลง
- รับประทานยาต้านเชื้อ โดยคุณหมออาจเลือกจ่ายยาในกรณีที่คนไข้เป็นฝีที่ขาหนีบบ่อยครั้ง หรือมีการติดเชื้ออยู่ในระดับรุนแรง
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) พาราเซตามอล เพื่อลดความเจ็บปวดจากการอักเสบของเม็ดฝี
- ผ่าฝีแล้วดูดหนองออก หากฝีมีขนาดใหญ่ ควรพบคุณหมอเพื่อดูดน้ำหนองออก โดยคุณหมอจะดูดหนองออกแล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ เพื่อช่วยซับน้ำหนองที่อาจไหลซึมออกมา
ฝีที่ขาหนีบ ป้องกันอย่างไร
ฝีที่ขาหนีบรวมถึงฝีบริเวณอื่นของร่างกาย ป้องกันได้โดยการรักษาความสะอาด ลดความเสี่ยงผิวหนังติดเชื้อ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ด้วยการฟอกสบู่แล้วล้างออก หรือใช้แอลกอฮอล์ล้างมือ
- เมื่อเป็นแผล ควรทำความสะอาดแผลให้แห้งและสะอาด หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำ เพื่อป้องกันการอักเสบและติดเชื้อ
- หากเป็นฝี ไม่ควรบีบหนองออกด้วยตัวเอง เพราะจะเป็นการทำให้เชื้อแพร่กระจาย
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ชุดชั้นใน ผ้าเช็ดตัว เครื่องนอน
- ซักและทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวเป็นประจำ เช่น ซักชุดเครื่องนอนทุกสัปดาห์ ซักผ้าเช็ดตัวหลังใช้งาน 3-4 ครั้ง หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง