ปากนกกระจอกขาดวิตามินอะไร ? โดยทั่วไป นอกจากจะมีสาเหตุจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียบางชนิดแล้ว ปากนกกระจอกเกิดได้จากการขาดวิตามินบี 2 ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน สุขภาพผิวหนัง และเส้นผม หากเป็นปากนกกระจอก ควรรับประทานอาหารประเภทไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว และธัญพืช เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นและเพียงพอ
[embed-health-tool-bmi]
ปากนกกระจอก คืออะไร
โรคปากนกกระจอก (Angular Cheilitis) เป็นปัญหาสุขภาพผิวที่เกิดจากผิวหนังอักเสบ ทำให้บริเวณมุมปากมีแผลเปื่อย มีรอยแดง แห้งแตก ลอก คัน หรือบวมร่วมด้วย จนรู้สึกเจ็บ อาจเป็นด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ด้าน ผู้ที่เป็นปากนกกระจอกจะรู้สึกว่าปากแห้งมาก บางครั้งรู้สึกแสบร้อน หรือมีรสชาติแปลก ๆ อยู่ในปาก ในบางรายที่แผลมีอาการรุนแรง เช่น มีเลือดออก อาจทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ จนถึงขั้นไม่อยากอาหาร ส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือน้ำหนักลดลงได้
ปากนกกระจอกขาดวิตามินอะไร
โรคปากนกกระจอกที่มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน มักเกิดจากร่างกายขาดวิตามินบี 2 ซึ่งเป็นวิตามินที่มีบทบาทในการสร้างพลังงาน ช่วยในการทำงานของเซลล์ ส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย การให้นมบุตร การสืบพันธุ์ รวมทั้งช่วยในการเผาผลาญไขมัน ยา และสเตียรอยด์
แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 2
ตัวอย่างอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 2 มีดังนี้
- นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น ชีส โยเกิร์ต
- ไข่
- เนื้อวัว เนื้อหมู
- เครื่องในสัตว์ เช่น ตับวัว
- อกไก่
- ปลา
- ผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง หน่อไม้ฝรั่ง คะน้า บรอกโคลี
วิตามินบี 2 เป็นสารอาหารที่พบในแหล่งอาหารที่หลากหลาย จึงควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วน มีสารอาหารทั้ง 5 หมู่ในทุก ๆ มื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก และลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 ที่มีตั้งแต่ปัญหาที่ไม่รุนแรง เช่น ปากแห้ง เจ็บคอ ผมร่วง ตาคันและแดง ผื่นผิวหนัง จนไปถึงปัญหาที่รุนแรงขึ้น เช่น โรคเลือดจาง โรคต้อกระจก
สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เป็นปากนกกระจอก
นอกจากร่างกายขาดวิตามินแล้ว ปากนกกระจอกอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น การติดเชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดขึ้นเมื่อมีน้ำลายสะสมอยู่ที่มุมปากจนแห้ง ส่งผลให้มุมปากแห้งแตก และเลียมุมปากบ่อยครั้งจนทำให้ผิวหนังที่แห้งแตกมีความชุ่มชื้นและอุ่นจากน้ำลาย ส่งผลให้เชื้อราเจริญเติบโตจนเกิดการติดเชื้อและอักเสบได้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดโรคปากนกกระจอก อาทิเช่น
- สวมเหล็กดัดฟัน
- สวมฟันปลอมที่ไม่พอดี
- ติดนิสัยเลียริมฝีปากบ่อย ๆ
- มีน้ำลายเยอะ
- ชอบดูดนิ้วหัวแม่มือ
- ฟันเก หรือฟันเรียงตัวกันอย่างไม่ถูกต้องจนทำให้ฟันบนและฟันล่างไม่สบเข้าคู่กันในตำแหน่งที่พอดี
- ผิวรอบริมฝีปากหย่อนคล้อยจากอายุที่มากขึ้นหรือน้ำหนักลดลง
- สูบบุหรี่
- ภาวะสุขภาพ เช่น โรคเลือดจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งไต ตับ ปอด หรือตับอ่อน โรคเบาหวาน โรคดาวน์ซินโดรม การติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
ปากนกกระจอก รักษาอย่างไร
วิธีรักษาปากนกกระจอกมักดูตามสาเหตุ โดยวิธีรักษาทั่วไปมีดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 2 เมื่อทราบแล้วว่า ปากนกกระจอกขาดวิตามินอะไร จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 2 เช่น ธัญพืช เนื้อสัตว์ ตับ ข้าว ผักใบเขียว และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อลดอาการปากแห้งที่ทำให้ต้องเลียริมฝีปากบ่อย ๆ
- ทายาที่ช่วยรักษาการติดเชื้อ ในกรณีที่เกิดจากเชื้อรา คุณหมอมักให้ใช้ยาฆ่าเชื้อราที่เป็นยาใช้เฉพาะที่ เช่น ไนสแตติน (Nystatin) คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) ไมโคนาโซล (Miconazole) ในกรณีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักให้ทายา เช่น มิวพิโรซิน (Mupirocin) กรดฟูซิดิก (Fusidic acid) น้ำยาบ้วนปากที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อ อาจช่วยลดปริมาณเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปากนกกระจอกให้หายได้ภายใน 1 สัปดาห์
- ทายาให้ความชุ่มชื้นบริเวณมุมปาก สำหรับอาการปากนกกระจอกที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรีย ให้ทาทาปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum Jelly) บริเวณมุมปากที่แห้งแตกหรืออักเสบ เพื่อป้องกันริมฝีปากสัมผัสกับความชื้น ช่วยให้แผลสมานได้เร็วขึ้น อาจช่วยให้อาการปากนกกระจอกดีขึ้นได้
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ทำให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ส่งผลให้ติดเชื้อบริเวณผิวหนังได้ง่ายขึ้น ดังนั้น หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม อาจช่วยให้เมื่ออาการทุเลาลงแล้ว จะไม่กลับมาเป็นปากนกกระจอกซ้ำ