ขิง เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะเป็นข้อหรือปล้อง สีขาวหรือสีเหลืองอ่อน นิยมนำมาประกอบอาหาร ชาสมุนไพร เครื่องเทศ และยา สรรพคุณขิงมีมากมายหลายประการ ทั้งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นการขับถ่าย
[embed-health-tool-bmi]
คุณค่าทางโภชนาการของขิง
ขิงสด 2 กรัม ให้พลังงาน 1.6 กิโลแคลอรี่ และมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย ดังนี้
- โพแทสเซียม 8.3 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 0.86 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 0.68 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 0.32 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 0.1 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ ขิงยังอุดมไปด้วยสังกะสี แมงกานีส ทองแดง วิตามินบี 1 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 ที่อาจให้ประโยชน์แก่ร่างกาย และอาจช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็นไปตามปกติ เช่น หัวใจ กล้ามเนื้อ ระบบประสาท ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาให้คำแนะนำว่า ไม่ควรรับประทานขิงมากเกิน 4 กรัม/วัน เพราะอาจส่งผลให้เกิดผลข้า’เคียงต่อทางเดินอาหาร และก่อให้เกิดอาการแพ้ได้
สรรพคุณขิง มีอะไรบ้าง
ขิงมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณขิงในการส่งเสริมสุขภาพ ดังนี้
-
อาจช่วยบำรุงกระดูก
ขิงมีโพแทสเซียม วิตามินซี และสังกะสี ซึ่งเป็นสารอาหารที่อาจช่วยบำรุงกระดูก เพิ่มมวลกระดูก ทำให้กระดูกไม่เปราะบางหรือแตกหักง่าย และอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนได้ จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of International ปี พ.ศ. 2559 ซึ่งได้ทำการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของความหนาแน่นของมวลกระดูกกับการรับประทานผักที่มีเบต้าแคโรทีน โฟเลต โพแทสเซียม สังกะสี และวิตามินซี โดยทำการทดสอบกับสตรีในช่วงวัยหมดประจำเดือน 189 คน พบว่า การรับประทานอาหารที่มีอุดมไปด้วยสารอาหารเหล่านี้อาจช่วยเพิ่มมวลกระดูกบริเวณสันหลัง คอ ต้นขา และสะโพก
-
ปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยอาหาร
การรับประทานขิงอาจช่วยกระตุ้นการเคลื่อนที่ของอาหารจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ และอาจช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ จากการศึกษาในวารสาร World Journal of Gastroenterology ปี พ.ศ.2554 ที่ศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณขิงต่อการขับถ่ายและอาการของโรคกระเพาะอาหารแปรปรวน ซึ่งทำการทดสอบในผู้เข้าร่วมการทดสอบที่มีอาการอาหารไม่ย่อย จำนวน 11 ราย โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบรับประทานขิงในรูปแบบแคปซูล 3 แคปซูล จากนั้นให้รับประทานซุปที่มีสารอาหารต่ำในปริมาณ 500 มิลลิลิตร และรอเวลา 1 ชั่วโมง พบว่า ขิงอาจช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้อาหารเคลื่อนที่จากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและกระตุ้นการขับถ่ายได้
-
อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
ขิงมีสารอาหารมากมาย เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสที่มีคุณสมบัติช่วยควบคุมการทำงานอวัยวะส่วนต่าง ๆ รวมถึงหัวใจให้เป็นไปตามปกติ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Iranian Journal of Pharmaceutical Research ปี พ.ศ. 2558 เกี่ยวกับผลของการรับประทานขิงต่อระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร ค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (Hemoglobin A1c) อะโพลิโพโปรตีน บี (Apolipoprotein B) อะโพลิโพโปรตีน เอ 1 (Apolipoprotein A-I) และ มาลอนไดดีไฮด์ (Malondialdehyde) ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยทำการทดลองให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งหมด 41 ราย รับประทานขิงในรูปแบบอาหารเสริม 2 กรัม/วัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ขิงอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดรวมถึงอะโพลิโพโปรตีน บี ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลไม่ดี ที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
-
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ขิงมีวิตามินซีที่อาจช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ทำให้สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อก่อโรคต่าง ๆ และสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients ปี พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวิตามินซีและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบว่า วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยสนับสนุนการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของเยื่อบุผิวให้สามารถต่อต้านการติดเชื้อโรค ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่อาจส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพ และยังอาจช่วยป้องกันและบรรเทาอาการติดเชื้อในทางเดินหายใจได้
ข้อควรระวังในการบริโภคขิง
การรับประทานขิงในรูปแบบอาหาร และรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม มักมีความปลอดภัยต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ก็อาจเกิดผลข้างเคียงในบางคน เช่น ผื่นคัน มีแก๊สในกระเพาะอาหาร จุกเสียดท้อง ท้องเสีย ระคายเคืองในช่องปาก
การรับประทานขิงในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยา สำหรับผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin) วาร์ฟาริน (Warfarin) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรระมัดระวังการรับประทานขิง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลิน เพื่อความปลอดภัยจึงควรขอคำปรึกษาจากคุณหมอก่อนรับประทาน