เกลือ หรือ โซเดียมคลอไรด์ (Sodium chloride) มักใช้ในการปรุงรสอาหาร โดยโซเดียมมีหน้าที่กระตุ้นเส้นประสาท ช่วยในการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ รักษาสมดุลของน้ำและแร่ธาตุอื่น ๆ ในร่างกาย แต่การได้รับโซเดียมมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง การสูญเสียแคลเซียมในกระดูก
ทั้งนี้ การใช้ยารักษาโรคบางชนิด การอาเจียนรุนแรง โรคท้องร่วง ภาวะเหงื่อออกมาก อาจทำให้เกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ สังเกตได้จากอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อารมณ์แปรปรวนหรือสับสน ง่วงซึม มีอาการชัก มีภาวะโคม่า เป็นต้น
ปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวัน
- ผู้ชายและผู้หญิงอายุ 14 ปีขึ้นไป รวมถึงสตรีมีครรภ์ ควรได้รับประมาณโซเดียม 1,500 มิลลิกรัม/วัน
อาหารที่มีโซเดียมสูง โซเดียมพบได้ในอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปทุกชนิด เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว เนื้อสัตว์ นม รวมถึงเกลือปรุงอาหารและอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เค้ก ซึ่งมักมีโซเดียมในปริมาณมาก
ซัลเฟอร์ หรือกำมะถันมีบทบาทสำคัญในการช่วยสร้างและซ่อมแซมดีเอ็นเอ รวมถึงเป็นส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น กลูตาไธโอน ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกอนุมูลอิสระทำลายจนเสียหายและอาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง นอกจากนี้ กำมะถันยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร ส่งเสริมสุขภาพผิว และบำรุงเส้นเอ็น แต่หากร่างกายได้รับกำมะถันมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ท้องเสีย โรคลำไส้อักเสบ
ปริมาณกำมะถันที่แนะนำต่อวัน
แม้จะไม่มีการกำหนดปริมาณกำมะถันที่แนะนำต่อวันไว้อย่างแน่ชัด แต่ร่างกายก็ควรได้รับเมไทโอนีนซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบประมาณ 14 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
อาหารที่มีกำมะถันสูง เช่น ไก่งวง เนื้อวัว เนื้อปลา ไข่ เมล็ดพืช ธัญพืช พืชตระกูลถั่ว ผักตระกูลกะหล่ำ ผักใบเขียว
เกลือแร่รอง
เกลือแร่รองเป็นเกลือแร่ที่มีผลึกขนาดเล็ก ร่างกายอาจต้องการในปริมาณ ดังนี้
ไอโอดีนเป็นเกลือแร่ที่จำเป็นในการสร้างฮอร์โมนไทรอกซิน (Thyroxine) และไตรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine) ของต่อมไทรอยด์ ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะช่วยสร้างโปรตีน ควบคุมการทำงานของเอนไซม์และระบบการเผาผลาญอาหาร หากมีไอโอดีนไม่เพียงพอ ฮอร์โมนเหล่านี้อาจทำงานผิดปกติ และอาจนำไปสู่ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) ที่ทำให้มีอาการอ่อนเพลียง่าย น้ำหนักขึ้น ท้องผูก ซึมเศร้า เคลื่อนไหวและคิดได้ช้าลง ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออาจเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) ที่ทำให้มีอาการวิตกกังวล ตื่นตระหนก อารมณ์แปรปรวน นอนหลับยาก อ่อนเพลียเรื้อรัง คอบวมเนื่องจากต่อมไทรอยด์โต น้ำหนักตัวลด หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เป็นต้น
ปริมาณไอโอดีนที่แนะนำต่อวัน
- ชายและหญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 150 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 220 และ 290 ไมโครกรัม/วัน
อาหารที่มีไอโอดีนสูง เช่น สาหร่ายทะเล ปลา หอย ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก
ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบหลักของฮีโมโกลบินซึ่งเป็นโปรตีนในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย และช่วยรักษาสุขภาพของเลือด นอกจากนี้ ธาตุเหล็กยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของสมอง โดยเฉพาะในวัยเด็ก ทั้งยังช่วยให้เซลล์และฮอร์โมนต่าง ๆ ทำงานได้เป็นปกติ การขาดธาตุเหล็กอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ทำให้มีอาการเหนื่อยล้าและเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
ปริมาณธาตุเหล็กที่แนะนำต่อวัน
- ชายอายุ 19-50 ปี ควรได้รับประมาณ 8 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงอายุ 19-50 ปี ควรได้รับประมาณ 18 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับประมาณ 27 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 9 มิลลิกรัม/วัน
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ เนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีนกระป๋อง หอยนางรม หอยแมลงภู่
สังกะสี หรือซิงค์ จำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์ในปฏิกิริยาเคมีที่สำคัญของร่างกาย การสร้างดีเอ็นเอ การสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก เช่น วัยเด็ก วัยรุ่น ช่วงตั้งครรภ์
ปริมาณสังกะสีที่แนะนำต่อวัน
- ชายอายุ 19 ปีขึ้น ควรได้รับประมาณ 11 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 8 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับประมาณ 11 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 12 มิลลิกรัม/วัน
อาหารที่มีสังกะสีสูง เช่น หอยนางรม ปู กุ้งมังกร เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อสัตว์ปีก ธัญพืช ถั่ว
ฟลูออไรด์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาฟันผุ และกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่
ปริมาณฟลูออไรด์ที่แนะนำต่อวัน
- ทารกแรกเกิด-6 เดือน ควรได้รับประมาณ 0.1 มิลลิกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 7-12 เดือน ควรได้รับประมาณ 0.5 มิลลิกรัม/วัน
- ชายละหญิงอายุ 1-3 ปี ควรได้รับประมาณ 0.7 มิลลิกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 4-8 ปี ควรได้รับประมาณ 1 มิลลิกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 2 มิลลิกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 3 มิลลิกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 3 มิลลิกรัม/วัน
อาหารที่มีฟลูออไรด์สูง เช่น นมวัว นมถั่วเหลือง น้ำดื่มผสมฟลูออไรด์ นอกจากนี้ ฟลูออไรด์ยังพบได้ในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากบางยี่ห้อด้วย
แมงกานีสมีส่วนช่วยในการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด ช่วยในการย่อยและดูดซึมกรดอะมิโน คอเลสเตอรอล และคาร์โบไฮเดรต ช่วยในการสร้างกระดูก การทำงานของระบบสืบพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังมีส่วนในกระบวนการแข็งตัวของเลือดและกลไกการห้ามเลือด โดยทำงานร่วมกับวิตามินเค
ปริมาณแมงกานีสที่แนะนำต่อวัน
- ทารกแรกเกิด-6 เดือน ควรได้รับประมาณ 0.003 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 7-12 เดือน ควรได้รับประมาณ 0.6 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับประมาณ 1.2 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับประมาณ 1.5 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กชายอายุ 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 1.9 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กหญิงอายุ 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 1.6 มิลลิกรัม/วัน
- ชายอายุ 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 2.2 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงอายุ 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 1.6 มิลลิกรัม/วัน
- ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 2.3 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 1.8 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับประมาณ 2 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 2.6 มิลลิกรัม/วัน
อาหารที่มีแมงกานีสสูง เช่น หอยนางรม หอยแมลงภู่ ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่วเหลือง ข้าว ผักใบเขียว พริกไทยดำ กาแฟ ชา
ซีลีเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์และโปรตีนที่ช่วยสร้างดีเอ็นเอ ป้องกันเซลล์เสียหาย และป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้ ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบสืบพันธุ์และการเผาผลาญของฮอร์โมนไทรอยด์ หากร่างกายขาดซีลีเนียมอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ง่วงนอน สับสน มึนงง มีอาการชัก มีภาวะโคม่า เป็นต้น
ปริมาณซีลีเนียมที่แนะนำต่อวัน
- ชายและหญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 55 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับประมาณ 60 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 70 มิลลิกรัม/วัน
อาหารที่มีซีลีเนียมสูง เช่น ปลา หอย เนื้อวัว ไก่ ถั่ว ขนมปังโฮลวีต
โครเมียมช่วยกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน และช่วยในการสลายตัวและการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินบี 3 และวิตามินซี การขาดโครเมียมอาจเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากร่างกายต้องการโครเมียมในปริมาณน้อยมาก และอาหารเกือบทุกชนิดมีโครเมียมเป็นส่วนประกอบ แต่หากร่างกายได้รับโครเมียมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อตับและไต และอาจทำให้มีอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน ปวดศีรษะและเป็นลมพิษได้
ปริมาณโครเมียมที่แนะนำต่อวัน
- ผู้ชายอายุ 19-50 ปี ควรได้รับประมาณ 35 ไมโครกรัม/วัน
- ผู้หญิงอายุ 19-50 ปี ควรได้รับประมาณ 25 ไมโครกรัม/วัน
- ผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 30 ไมโครกรัม/วัน
- ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 20 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับประมาณ 30 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 45 ไมโครกรัม/วัน
อาหารที่มีโครเมียมสูง เช่น ธัญพืช เนื้อวัว เนื้อปลา เนื้อสัตว์ปีก ไข่แดง กาแฟ บร็อคโคลี่ ถั่วเขียว มันฝรั่ง แอปเปิ้ล กล้วย
ทองแดงมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการผลิตพลังงาน กระบวนการเมตาบอลิซึม การสังเคราะห์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และการสังเคราะห์สารสื่อประสาท นอกจากนี้ ทองแดงยังมีส่วนช่วยในการสร้างเส้นเลือดใหม่ การรักษาสมดุลของระบบประสาท การควบคุมการแสดงออกของยีน การพัฒนาสมอง การสร้างเม็ดสี การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
หากขาดทองแดงอาจทำให้มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคโลหิตจาง ภาวะไขมันในเลือดสูง ความผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคกระดูกพรุน การเผาผลาญไขมันในเลือดผิดปกติ ความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ปริมาณทองแดงที่แนะนำต่อวัน
- ทารกแรกเกิดถึง 12 เดือน ควรได้รับประมาณ 200 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับประมาณ 340 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับประมาณ 440 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 700 ไมโครกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 890 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์อายุ 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 1,000 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตรอายุ 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 1,000 ไมโครกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 900 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 1,300 ไมโครกรัม/วัน
อาหารที่มีทองแดงสูง เช่น เนื้อวัว ตับ หอยนางรม เมล็ดพืช เต้าหู้ ซีเรียล รำข้าวสาลี ผลิตภัณฑ์จากธัญพืชไม่ขัดสี ช็อกโกแลต ถั่วลูกไก่
โมลิบดีนัมจำเป็นต่อการทำงานของเอ็นไซม์ ช่วยเผาผลาญกรดอะมิโนที่มีกำมะถันและสารประกอบเฮเทอโรไซคลิก (Heterocyclic) ทั้งยังมีส่วนช่วยในการเผาผลาญยาและสารพิษในร่างกายด้วย การขาดโมลิบดีนัมอาจนำไปสู่โรคไข้สมองอักเสบ อาการชา ความเสียหายทางระบบประสาท เป็นต้น
ปริมาณโมลิบดีนัมที่แนะนำต่อวัน
- ทารกแรกเกิด-6 เดือน ควรได้รับประมาณ 2 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 7-12 เดือน ควรได้รับประมาณ 3 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับประมาณ 17 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับประมาณ 22 ไมโครกรัม/วัน
- เด็กอายุ 9-13 ปี ควรได้รับประมาณ 34 ไมโครกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 14-18 ปี ควรได้รับประมาณ 43 ไมโครกรัม/วัน
- ชายและหญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับประมาณ 45 ไมโครกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับประมาณ 50 ไมโครกรัม/วัน
อาหารที่มีโมลิบดีนัมสูง เช่น ตับ เนื้อวัว ไข่ เนื้อไก่ โยเกิร์ตไขมันต่ำ มันฝรั่ง ธัญพืชเต็มเมล็ด พืชตระกูลถั่ว (เช่น ถั่วตาดำ ถั่วลิสง) กล้วยหอม
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย